แม่ชีบุญมี เวชสาร เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ เวลา ๙.๐๐ น. บิดาชื่อ นายสุด และมารดาชื่อ นางเทา ซึ่งบ้านเดิมอยู่ที่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพี่น้องรวมกัน ๓ คน ในสมัยเด็กๆ บิดามารดาจะคอยสอนท่าน ให้เป็นคนมีศีลมีธรรม อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน และช่วยใครได้ให้ช่วยเหลือไป ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก พี่เขยของคุณแม่ให้เอาปลาไหลไปฆ่า เพื่อทำอาหารด้วยการผูกมันไว้ แล้วเอาขี้เถ้ารูดตัวจนกว่าจะตาย คุณแม่ได้ยินแล้ว รู้สึกมีจิตเมตตาต่อสัตว์และฆ่ามันไม่ลง ท่านจึงปล่อยปลาไหลตัวนั้นลงน้ำไป ทำให้ถูกพี่เขยดุและลงโทษคุณแม่ โดยให้กินแต่ข้าวเปล่าอย่างเดียวในเย็นวันนั้น
ตั้งแต่อายุ
๑๐ ขวบ ท่านไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ จึงสนใจในการทำงานโดยเริ่มค้าขายเล็กๆ น้อยๆ
ด้วยการเอาผักและแตงไปขายที่ตลาดจนถึงอายุ ๑๗
จากนั้นได้ไปเรียนเย็บผ้าอยู่ ๖ เดือน แต่เรียนไม่จบ พอถึงอายุ ๑๘ ท่านพอมีทุนเก็บออมพอสมควร
จึงได้ซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปขายที่ ปากเซ ประเทศลาว และขากลับซื้อของจากลาวมาขายในไทยทำกำไรอีกทอดหนึ่ง
ในช่วงวัยรุ่นคุณแม่มีความคิดว่าอยากจะออกบวชชี
จึงไปหาพระอาจารย์ประเสริฐ วัดวาริน จ.อุบลฯ และกราบเรียนท่าน พระอาจารย์ตอบกลับว่า บวชอะไร อายุยังน้อยอยู่
เดี๋ยวจะพาพระสึกหนีหรอก
คุณแม่จึงไม่มีโอกาสได้บวช และกลับบ้านมาทำค้าขาย
ด้วยการจ้างรถไปซื้อมันสำปะหลังที่ไร่เพื่อมาขายส่งที่โรงงาน ถึงหน้ามะม่วง ท่านจะเอามาขายที่ตลาด
แล้วรวมรายได้ทั้งหมดมาเป็นค่าใช้จ่าย ส่งเสียสมาชิกในบ้านทั้งหมดถึง ๙ คน จากนั้นคุณแม่ได้ยึดอาชีพรับจ้างนำสินค้าไปขายยังประเทศลาว
จนต่อมาได้ดำเนินกิจการเป็นของตนเอง ในช่วงที่ทำธุรกิจอยู่
เพราะต้องรับผิดชอบครอบครัว
อยู่มาวันหนึ่ง คุณแม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์พบว่า
มีพระสงฆ์รูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดแสนสุข อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ชื่อหลวงพ่อท้วม ได้ทำนายอนาคตของบุคคลสำคัญหลายท่านไว้ เช่น พระเอกมิตรชัยบัญชาจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต,
ประธานเหมาเจอตุงจะตาย โดยสามารถระบุเวลาที่จะตายได้, คุณอาภัสรา
หงสกุลจะได้เป็นนางงามจักรวาล, และประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ของสหรัฐอเมริกาจะถูกยิงตาย ซึ่งคำทำนายจากญาณวิเศษของหลวงพ่อ ได้เกิดขึ้นจริงทั้งหมด
คุณแม่จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใส คิดว่าจะต้องไปกราบสักการะท่านสักครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นคุณแม่จึงเดิน
ทางไปกราบหลวงพ่อท้วม
ครั้งแรกที่คุณแม่ได้ไปกราบหลวงพ่อท้วมและสนทนากันสักพัก
ท่านได้ทักคุณแม่ว่า “อีหนูเอ็งไปค้า ขายที่ลาว ให้ระวังตัว
เอ็งจะหมดเนื้อหมดตัว” เมื่อสนทนาเสร็จ คุณแม่ได้กลับไปอุบลราชธานีและดำเนินธุรกิจต่อ
แต่เหตุการณ์ที่ท่านทำนายไว้ เกิดขึ้นจริงดั่งตาเห็น โดยเริ่มต้นขณะที่
ค่าเงินลาวตกอย่างมาก จากเงินลาว ๑๐๐ กีปที่เคยแลกเงินไทยได้ ๒๕ บาท ตกลงเหลือเพียง
๔ บาทเท่านั้น แต่คุณแม่ก็ยังไม่เลิกกิจการและยังคงขายต่อ จนกระทั่งประเทศลาวถูกกลุ่มลาวแดงปฏิวัติ
จึงทำให้คุณแม่สูญเสียสินค้าและเก็บเงินไม่ได้ เนื่องจากพรมแดนถูกปิด ท่านจึงหมดตัวจากการค้าที่ลาว
ในที่สุดต้องเลิกกิจการไป
หลังหมดตัวจากการค้าขายที่ลาว
คุณแม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมครั้งแรกในชีวิตขณะที่มีอายุ ๓๘ ปี
กับพระอาจารย์ประเสริฐ วัดวาริน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี คุณแม่ได้เริ่มต้นฝึกปฏิบัติ นอนค้างที่วัดกับหลาน
โดยบวชถือศีล ๘ พร้อมกับปฏิบัติธรรม ด้วยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ บริกรรมรูปแบบพองหนอ
ยุบหนอ เป็นเวลาที่ตั้งใจไว้ ๗ วัน
ช่วงวันแรกของการปฏิบัติ
คุณแม่เล่าว่า รู้ว่ามีเสียงต่างๆ แต่ไม่ได้กำหนด เพราะกำหนดแต่ พองหนอ
ยุบหนอ พอวันที่ ๒ ขณะที่นั่งสมาธิ อยู่ๆ
จิตก็นิ่งหายเงียบไป ต่อมาวันที่ ๓
ท่านนั่งได้นานกว่าเก่า แต่มีสภาวะคันเกิดขึ้นแล้วหายไปหลายแห่งที่ร่างกาย
นั่งไปอีกซักพักรู้สึกตัวคันยุบยิบเข้าตาเข้าจมูกเลย เมื่อถึงวันที่ ๔
ที่เป็นวันพระ ท่านนั่งได้นิ่งเป็นชั่วโมง จนพี่สาวคุณแม่เห็นเข้า
คิดว่าคุณแม่สำเร็จแล้ว เลยก้มลงกราบคุณแม่ต่อหน้า ด้วยความเคารพศรัทธาว่าคงได้บรรลุธรรมวิเศษ
เข้าวันที่ ๕
คุณแม่ได้อธิษฐานจิตกับเจ้าอาวาสวัดวาริน
ทุกพระองค์ตั้งแต่ องค์แรกจนถึงองค์สุดท้ายว่า “อยากเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น” จากนั้นได้นั่งสมาธิต่อ
ซึ่งครั้งนี้จิตไม่นิ่งหายไปเหมือนครั้งก่อน
แต่กลับเห็นรูปพระพุทธเจ้ารูปร่างใหญ่เหมือนองค์จริง สวยงามมาก ขนาดแค่ครึ่งอก
โดยมีเกสา(ผม) เกล้ามวยสวยมาก ในทุกสัดส่วนที่เห็น
ซึ่งเกสาไม่โล้นเหมือนพระสงฆ์ทั่วไป อีกทั้งผิวพรรณของพระพุทธเจ้าเหมือนคน
ไม่เหมือนพระพุทธรูปทั่วไป
คุณแม่เห็นอยู่นานพอสมควร
จนกระทั่งองค์พระพุทธเจ้าหัวเราะออกมา ด้วยเสียงที่ไพเราะมาก จากนั้นรูปพระพุทธเจ้าได้ขยับหันหน้าไปทางด้านซ้าย
และทันใดนั้นปรากฎมีสายรุ้งพุ่งออกมาจากตาทั้ง ๒ ข้าง
ในอิริยาบถที่เคลื่อนไหวไปช้าๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ไพเราะมาก
ซึ่งคุณแม่เห็นได้ชัดเจนมากอยู่สักครู่ จนเสียงค่อยๆ เบาลง พร้อมกับภาพได้ค่อยๆ
เลือนหายไป วันนั้นคุณแม่นั่งสมาธิได้นานมากกว่าชั่วโมง
ด้วยความรู้สึกเบาโปร่งโล่งสบาย
ที่สำคัญคือไม่เคยประสบกับความสุขเช่นนี้มาก่อนในชีวิต พอตอนเย็นท่านได้ไปส่งอารมณ์โดยรายงานว่า “ดิฉันได้เห็นพระพุทธเจ้า” พระอาจารย์ดุเอาว่า พระพุทธเจ้าที่ไหน
ท่านดับไปนานแล้ว แต่คุณแม่ตอบกลับว่า เห็นจริงๆ
พระอาจารย์บอกว่า คุณแม่เหมือนพึ่งหัดเดิน แต่ดีแล้วที่ได้เห็น อย่างไรก็ดีท่านบอกว่า
คุณแม่มีแวว และกล่าวให้มาปฏิบัติต่อในอนาคต
วันที่ ๖
คุณแม่นั่งแล้วไม่หายนิ่งไป แต่กลับรับอารมณ์ต่างๆ ได้ เสียงไม่ว่าใกล้หรือไกล
ได้ยินทันทุกอารมณ์ แต่ไม่ได้บริกรรม เพียงรู้อยู่เฉยๆ และมีความคิดน้อย
จึงทำให้ท่านรู้สึกหงุดหงิด เพราะวันนี้ไม่เห็นอะไรเลยในจิต คุณแม่เข้าใจว่าเมื่อวานนี้ปฏิบัติได้ดีกว่าวันนี้ พอไปส่งอารมณ์ ท่านบอกว่าได้ส่งใจไปที่อารมณ์ต่างๆ
ไปแล้วกลับ ทีแรกคุณแม่คิดว่าคงปฏิบัติแบบเสียข้าวสุกเปล่าๆ แต่พระอาจารย์กลับบอกว่า
“ดี” และหันไปบอกคนอื่นๆ
ที่มาร่วมปฏิบัติ ให้เอาคุณแม่เป็นแบบอย่าง
ถึงวันที่ ๗ ท่านไม่ได้นั่งในศาลาแล้ว
เพราะรู้สึกว่ามีเสียงมากเกินไป จึงย้ายไปนั่งบริเวณโล่งๆ ด้านหน้า โบสถ์
ไม่มีอะไรรบกวนและไม่มีอะไรบนพื้น
พอนั่งสมาธิไปสักพัก รู้สึกเหมือนมีตัวแมลงไต่ยั้วเยี้ยขึ้นมาที่ขาจนถึงเอว
พอลืมตาขึ้น ปรากฎว่าเป็นฝูงมดแดงเต็มไปหมด
ถ้าลุกขึ้นทันที มดคงกัดท่านแน่เลย ในวินาทีเดียวกันนั้นจิตของท่านผุดคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาทันทีว่า
สมัยเด็กๆ เมื่อครั้งขูดมะพร้าวด้วยเหล็กรูปกระต่ายเสร็จ จะเหลือเศษมะพร้าวในกะลาที่ทิ้งไว้
มีมดมากินมะพร้าวขึ้นเต็มไปหมด คุณแม่เลยเคาะมดในกะลา ลงไปยังกองไฟ และเผาไหม้มดจนมีเสียงป๊อะแป๊ะ เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้น ทำให้คุณแม่คิดถึง
ฝูงมดที่อยู่บนตัว ท่านจึงหลับตานิ่งไม่ขยับแล้วอธิษฐานว่า “หากคุณแม่ได้เคยทำบุญกุศล
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอยกให้มดหมดเลย ถ้าท่านรับแล้วจงไปเถิด แต่หากไม่อโหสิกรรมให้
ก็เชิญเลย” หลังจากนั้นรู้สึกว่าฝูงมดที่ตัวท่านได้เริ่มเดินไต่กลับลงไป
พอคุณแม่แผ่เมตตาเสร็จ
ลืมตาขึ้น เห็นมดเยอะมาก เดินออกจากตัวไป คุณแม่จึงหลับตาแล้วนั่งสมาธิต่อไป
สักครู่ ท่านรู้สึกเหมือนคล้ายมีแสงจากดอกไม้ไฟสวยงามมาก พุ่งออกจากตัวและดูไปเรื่อยๆ
จนมันออกไปหมด จากนั้นท่านรู้สึกตัวโล่งไม่มีตัวตนเหลืออยู่ มีแต่ความว่างเปล่า เหลือแต่ตัวจิตที่รู้อยู่อย่างเดียว
ความสุขที่ไม่มีตัวตนครั้งนี้มีมากกว่าครั้งก่อนๆ ทำให้นั่งสมาธิต่อเนื่องได้นานถึง
๒ ชั่วโมง ระหว่างนั้นมีแต่ความว่าง
รู้สึกว่ามีแต่หัวใจเต้นตุ๊บๆ ช่วงท้ายเริ่มรู้สึกมีแต่รูปส่วนหัว แต่ไม่มีตัว และรู้สึกตัวเบาลง
ต่อมาจึงค่อยๆ
กลับมารู้สึกตัวเองชัดเจนขึ้น
ท่านเลยไปส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ว่า “รู้แล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร” เหมือนลูกไฟคล้ายพลุกระจายออกไป
แต่พระอาจารย์บอกว่านั่นไม่ใช่นิพพาน นิพพานดีกว่านี้ นั่นเป็นเพียงโอภาส
จึงทำให้คุณแม่อยากให้ได้ไปถึงพระนิพพาน ซึ่งคงจะทำให้มีความสุขมากกว่าที่เคยได้
วันนั้นก่อนกลับพระอาจารย์สอนเพิ่มว่า“นามเป็นตัวสั่งรูป คล้ายกับตุ๊กตาไขลาน
ตัวจิตต้องสั่ง รูปถึงเดินได้”
ก่อนกลับคุณแม่ได้กราบลาโดยเดินกลับบ้าน ด้วยความดีใจและมีปีติสุขมาก เมื่อถึงบ้าน แม่บุญธรรมเห็นคุณแม่บุญมี
แล้วพูดว่า“เทวดามาแล้ว” พร้อมกับบอกว่า “ให้พาแม่บุญธรรมไปสวรรค์ด้วย”
ต่อมาคุณแม่ถูกเรียกให้ไปช่วยเฝ้าร้านทำผม
เพราะหลานที่เป็นเจ้าของร้าน ต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯ จึงต้องปิดร้านชั่วคราว ในขณะที่เฝ้าร้าน ท่านได้ฝึกเดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งวัน ในช่วงที่มีเวลาว่าง
และได้ชวนคนรู้จักที่เป็นภรรยาของทหารบริเวณนั้น ไปร่วมฝึกปฏิบัติธรรมต่อ ที่วัดวารินในช่วงกลางคืน
คืนวันนั้นพระอาจารย์เทศน์ และบอกผู้มาร่วมปฏิบัติราว
๗ – ๘ คนว่า ทำไมพวกท่านไม่ปฏิบัติให้ได้เหมือนคุณแม่
เนื่องจากมีคนมาปฏิบัติมาก แต่กลับชอบคุยกัน ทำให้ไม่ได้อะไร แม้ว่าจะอยู่ในวัดถึง
๗ วันก็ตาม
จากนั้นน้องสาวคุณแม่ได้ชักชวนท่านให้ไปช่วยดูแลกิจการที่จังหวัดพิษณุโลก คุณแม่จึงเดินทางจาก จ.อุบลฯ เพื่อไปกราบหลวงพ่อท้วมอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนไปช่วยงานน้องสาว เมื่อไปถึงวัดแสนสุข
ความโชคร้ายของคุณแม่ยังไม่หมดไป เพราะหลวงพ่อท้วมได้ทำนาย คุณแม่อีกครั้ง ถึงเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง และเลวร้ายที่สุดแก่คุณแม่ว่า
“อีหนูถ้าเอ็งก้าวขาออกจากวัด เอ็งจะตายทันที ต้องบวชเท่านั้นถึงจะรอดได้” ครั้นคุณแม่ได้ยินเข้า ถึงกับร้องไห้ทันที
คำทำนายนี้ทำให้คุณแม่ตกใจ และเสียใจเป็นอย่างมาก หากกลับไปช้า จะทำให้คุณแม่เสียสัจจะ และไม่สามารถไปช่วยงานน้องบุญธรรมชื่อคุณประภาพร
ที่จ.พิษณุโลกได้ เพราะได้รับปากน้องบุญธรรมไว้ว่าจะไปช่วยงาน หลวงพ่อท้วมถามคุณแม่ว่า
“จะเลือกตายหรืออยู่ เลือกเอาเอง”
คุณแม่ได้เลือกที่จะอยู่ จึงทำให้ต้องตัดสินใจบวชในวันนั้นทันที ท่านถามว่า
เมื่อบวชแล้วจะเดินทางกลับไปหาน้องเลยได้หรือไม่
หลวงพ่อบอกว่าไม่ได้ จะต้องบวชให้ครบ ๗ วันก่อน
เนื่องจากคุณแม่มีเงินติดตัวมาแค่
๒๐๐ บาทเท่านั้น ซึ่งไม่พอใช้ในการบวช หลวงพ่อจึงให้แม่ชีในวัดแสนสุข ยืมชุดแก่คุณแม่บุญมี
๒ ชุด เมื่อบวชเสร็จแล้ว ในดึกคืนวันนั้น ขณะที่คุณแม่นอนหลับอยู่
ท่านได้ยินแต่เสียงผู้ชาย ๒ คน ถามกันว่า “ไหนๆ อยู่กุฏิไหน” โดยไม่เห็นตัว ก็ทราบทันทีว่าเขาจะมาเอาชีวิต เมื่อสิ้นเสียงผู้ชาย ขณะนั่นเอง
คุณแม่เห็นนิมิตภาพหลวงพ่อท้วมลอยมาที่ตัวคุณแม่
แล้วยกมือคล้ายลูบเหนือตัว จากศรีษะถึงปลายเท้า แต่ไม่ได้ถูกตัว
พร้อมกับกล่าวให้พรว่า “อย่าตายนะลูก”
๓ ครั้ง แล้วท่านก็ลอยออกจากห้องไป
พอสิ้นเสียงหลวงพ่อ ก็ไม่ได้ยินเสียงของผู้ชาย ๒ คนนั้นอีกเลย
คงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อที่มาช่วย
ไม่เช่นนั้นคุณแม่คิดว่าชีวิตท่านคงไม่ผ่านคืนนั้นแน่
ชีวิตของคุณแม่ได้เริ่มหันเหสู่ร่มกาสาวพักตร์
โดยบวชชีเป็นครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ ๔๐ ปี
ครั้นบวชอยู่วัดแสนสุขครบ ๗ วัน คุณแม่จึงได้กราบลาหลวงพ่อ และเดินทางไปหาน้องบุญธรรมชื่อ คุณประภาพร เมื่อพบคุณประภาพร คุณแม่ได้ขอโทษพร้อมกับหลั่งน้ำตา
เนื่องจากคุณแม่กลัวจะเสียสัจจะ ที่เคยได้รับปากไว้ว่าจะไปช่วยทำงาน แต่น้องบุญธรรมก็มิได้ต่อว่าแต่อย่างใด
แต่กลับร่วมทำบุญด้วยการซื้อชุดแม่ชีให้ใหม่ แทนชุดเก่าที่ยืมมาจากวัดแสนสุข เพราะเข้าใจในเหตุผลของการมาล่าช้า
และยังให้การอุปถัมภ์เกื้อหนุนคุณแม่มาโดยตลอด
ช่วงที่คุณแม่บวชอยู่ที่วัดแสนสุข
จ.ชลบุรี คุณแม่ต้องทนอาศัยอยู่อย่างยากลำบาก โดยเฉพาะเรื่องความทุกข์ทางใจที่ถูกกดดันมาจาก
แม่ชีกับคุณยายอีกท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในวัด ในช่วงแรกคุณแม่เล่าว่าท่านต้องเสียน้ำตาร้องไห้ทุกวัน
ด้วยความทุกข์ทรมานใจในด้านการเป็นอยู่
วันหนึ่งขณะที่ร้องไห้อยู่ ท่านเดินไปด้านหลังพระพุทธรูปองค์ใหญ่ของวัด โดยเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของ
หลวงพ่อโอภาสีและกรมหลวงชุมพรฯ คุณแม่นึกพูดในใจให้หลวงพ่อช่วยด้วย
เสร็จแล้วมองกลับไปที่ภาพถ่าย รู้สึกเหมือนกับภาพนั้นยิ้มให้คุณแม่ ทำให้ท่านเกิดปิติ
มีกำลังใจขึ้นมากอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นผลทำให้จิตของคุณแม่ผุดคิดขึ้นเองว่า “ถ้าเราชนะใจเราไม่ได้
แล้วจะชนะคนอื่นได้อย่างไร”
แรงดลบันดาลใจครั้งนี้ทำให้คุณแม่อดทนทำงานต่อไปในวัดอย่างไม่ท้อถอย
นอกจากช่วยงานในวัดแล้ว ยังช่วยงานให้คุณยาย แม้ว่าจะเคยกดดันดุด่าท่านอยู่เป็นนิจ
ด้วยการนำหัวปลาและเศษปลามาให้สุนัขกิน จากการที่ช่วยแบ่งเบางานในวัด ทำให้เป็นที่พอใจแก่คุณยายและหยุดดุว่าตั้งแต่นั้นมา เมื่อเสร็จจากให้อาหารสุนัข ท่านยังช่วยตำน้ำพริกและหุงข้าวจนเป็นที่พอใจมากอีก
นอกเหนือจากงานในวัด
คุณแม่ยังได้ฝึกกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อท้วม ด้วยการฝึกนั่งสมาธิให้จิตนิ่งๆ
และดูจิตตัวเองด้วย ท่านยังบอกว่า เอ็งจะสามารถได้ยินและเห็นสิ่งที่คนอยู่จังหวัดอุบลฯ
พูดและทำได้ ถ้าเอ็งอยากได้ยินเอ็งจะได้ยินสิ่งที่เค้าพูด ถ้าเอ็งอยากจะเห็นเอ็งจะได้เห็นสิ่งที่เค้าทำ
แต่จิตของคุณแม่กลับคิดค้านขึ้นในใจว่า การได้อภิญญาหรือความสามารถแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ เมื่อฝึกได้ซักพัก แม้ว่าท่านจะไม่มีพื้นฐานทางธรรมมากก็ตาม
แต่ในใจนั้นคิดขึ้นเองว่า เราไม่อยากปฏิบัติแบบนี้อีกต่อไป โดยไม่รู้เพราะอะไร เพียงรู้สึกว่า
นี่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์เท่านั้น
ในวันหนึ่งที่วัดแสนสุข
คุณแม่ได้ยินเสียง หลวงพ่อองค์หนึ่งกำลังเดินไล่ตีเณร อยู่ด้านหลังวัด จึงทำให้เณรวิ่งหลบหนีมาเจอคุณแม่
และได้สนทนากันถึงเรื่องกัมมัฏฐาน เณรได้บอกคุณแม่ให้ไปฝึกที่
สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วิเวกอาศรม ที่อยู่ไม่ไกลจากวัด เป็นที่ฝึกปฏิบัติดีจริง
ๆ เณรได้เห็นคนปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งเดินจงกรม
ทั้งนั่งสมาธิ เมื่อคุยเสร็จ
จิตคุณแม่บอกขึ้นมาเลยทันทีว่า อยากไปฝึกปฏิบัติที่นั่น
แม้ว่าคุณแม่อยากจะไปปฏิบัติที่วิเวกอาศรม
แต่ยังไม่มีโอกาสไป ต่อมาไม่นานได้กราบเรียนหลวงพ่อท้วม ถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการจะไปฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ท่านจึงได้ฝากคุณแม่ให้ไปฝึกที่ สำนักประชุมนารี จ.ราชบุรี เนื่องจากหลวงพ่อรู้จักที่นั่นดีและเคยบริจาคข้าวสารเป็นประจำอยู่หลายปี
คุณแม่ได้ไปอยู่ที่นั่นแบบเด็กฝาก ด้วยความเกรงใจของทุกคน พออยู่ครบเดือนหลวงพ่อก็มารับกลับหลังจากออกพรรษา
เมื่อกลับถึงวัดแสนสุขพบคุณยายวาสที่เคยดุว่าคุณแม่เป็นประจำ
คุณแม่สังเกตุได้ถึงพฤติกรรมของคุณยาย ที่เริ่มมีทัศนคติดีขึ้นว่าเริ่มรักและคิดถึงคุณแม่แล้ว
ในอดีตคุณแม่เคยช่วยงานคุณยายทุกเรื่อง ครั้นคุณแม่ไม่อยู่วัด
คุณยายต้องทำงานเองทั้งหมด ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมาช่วยแบ่งเบางานคุณยายเหมือนเดิม
จึงรู้สึกดีๆ ต่อคุณแม่เป็นอย่างมาก คุณแม่จึงถามตัวเองว่า ชนะใจคนอื่นหรือยัง
จิตบอกทันทีว่า ชนะแล้ว เพราะท่านได้เอาชนะใจคุณยายด้วยความขยัน อดทน
ความเมตตากรุณา และการให้ด้วยการช่วยเหลืองานทุกอย่าง ทั้งๆ ที่งานหลายอย่างคุณแม่ไม่จำเป็นต้องทำ
ต่อมาคุณแม่มีความคิดอยากจะกลับบ้าน
ซึ่งไม่นานก็ได้เดินทางกลับไปอาศัยอยู่ที่ วัดมหาวนาราม(วัดป่าใหญ่) จ.อุบลราชธานี
หัวหน้าแม่ชีที่นั่นบังคับให้คุณแม่เรียนนักธรรมชั้น
จุลตรี จุลโท จนถึง จุลเอก เมื่อเรียนจบไประยะหนึ่ง ก็ถูกมอบหมายให้สอนพระเณรในวัด แต่จิตคุณแม่บอกว่า
การสอนปริยัติที่นี่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ ในที่สุดคุณแม่จึงหยุดการสอนปริยัติและได้กราบลาเจ้าอาวาส เพื่อไปปฏิบัติธรรมต่อ
ท่านตอบคุณแม่ว่า คิดถูกแล้ว
จิตใจคุณแม่ขณะนั้นคิดถึงแต่เรื่องธุดงค์ปลีกวิเวก ก่อนจะจากวัดไป หัวหน้าแม่ชีที่วัด ได้บอกคุณแม่ว่า ให้เรียนจบชั้นจุลเอกก่อนค่อยไป
แต่คุณแม่ได้ย้อนถามไปว่า “คุณพี่ รู้วันตายไหมค่ะ” ก็ได้คำตอบว่า “ไม่รู้” คุณแม่จึงไม่อยู่ต่อเพื่อเรียนปริยัติ
และมุ่งหน้าสู่การธุดงค์ปลีกวิเวก เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อไป
ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๒ เจ้าอาวาสวัดป่าใหญ่ได้ทราบวัตถุประสงค์อันแน่วแน่ของคุณแม่
ในความต้องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงอนุญาตให้คุณแม่ออกจากวัด
โดยมีหัวหน้าแม่ชีเป็นผู้ร่วมเดินทางไปที่สำนักวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี เนื่องจากเจ้าอาวาสเคยได้รับฟังเรื่องราว และชื่อเสียงของวิเวกอาศรมจาก พระสงฆ์ที่วัดมหาธาตุฯ
กรุงเทพฯ
คุณแม่ได้เข้าฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน
๔ เป็นครั้งแรกในชีวิตกับพระอาจารย์ ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ด้วยองค์บริกรรมภาวนา
พองหนอ ยุบหนอ คุณแม่มักจะเรียกหลวงพ่ออาสภะว่า หลวงพ่อใหญ่ หรือ พระอาจารย์ใหญ่
ท่านสอนให้คุณแม่ฝึกกำหนด เช่น ความคิดมีก็กำหนด เสียงมีก็กำหนด
อะไรชัดเจนก็กำหนดไป ตอนเริ่มเดินจงกรมใหม่ๆ
คุณแม่เดินช้า พร้อมกับกำหนด ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ครั้นพระอาจารย์เห็นเข้าและสอนว่า
ตอนขณะกำหนดเดิน คุณแม่ได้กำหนดเสียงไหม กำหนดเห็นไหม กำหนดเย็นด้วยไหม
จากนั้นคุณแม่เริ่มปฏิบัติอย่างจริงจังในห้องพักคนเดียว
โดยปิดประตูห้อง ไม่ออกมาพูดคุย ไม่ไปเดินเล่น และยังส่งสอบอารมณ์ทุกวัน
ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์จึงชมคุณแม่ว่า มีความขยันอดทนมาก
พอปฏิบัติไปได้ประมาณเดือนครึ่ง อยู่ๆ คุณแม่ก็เดินไปกราบลาพระอาจารย์ ด้วยมีความรู้สึกว่าไม่อยากปฏิบัติต่อไปอีกแล้ว
และไม่รู้เพราะอะไร เพียงแต่รู้สึกถึงอารมณ์เบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น จนอยากกลับบ้านทันที พระอาจารย์พูดว่า แก่แล้วยังตามใจตัวเองอีก และถ้าเลิกปฏิบัติแล้วจะไปไหน
หลังสนทนาจบ ก่อนจะออกจากสำนักวิเวกอาศรม จิตของท่านผุดคิดขึ้นว่า
“เราเป็นคนไม่ใช่ไก่ เราเห็นเพชรอันล้ำค่า ทำไมไม่เอา ออกไปแล้วจะไปทำอะไรต่อ
เรามาอยู่ที่นี่เพื่อฝึกกัมมัฏฐานมิใช่หรือ” ในที่สุดคุณแม่ก็เปลี่ยนใจ เดินกลับขึ้นกุฏิกัมมัฏฐาน
พอรุ่งเช้าขึ้นมาไปส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ ท่านก็หัวเราะถามว่ายังไม่ไปอีกหรือ
ท่านทราบว่าอารมณ์อยากกลับบ้าน เป็นสภาวะธรรมของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านจึงชมคุณแม่ว่าปฏิบัติได้ดี เพราะมีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติ
คุณแม่ได้เจริญวิปัสสนาต่ออย่างขยันหมั่นเพียรด้วยความอดทน
จนถึงสภาวะธรรมที่ซ้ำไปซ้ำมา และไม่มีอะไรใหม่ปรากฎหรือเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งพระอาจารย์ใหญ่ให้คุณแม่อธิษฐานถอนพุทธภูมิ
พอทำเสร็จสภาวะธรรมของคุณแม่พัฒนาก้าวหน้าต่อไปทันที จนสามารถปฏิบัติ ถึงเป้าหมายเป็นที่พอใจ ภายในระยะเวลาประมาณ
๓ เดือน จากเดือนกรกฎาคม ถึง ตุลาคม ที่สำนักวิเวกอาศรม
ก่อนคุณแม่ธุดงค์ออกจากวิเวกอาศรม
ท่านเกิดความประทับใจมากเรื่อง “ทานบารมี” อย่างที่ไม่เคยลืมเลือนอยู่ ๒ เรื่อง
เรื่องแรกเกิดขึ้น ในวันหนึ่งขณะที่คุณแม่กำลังปฏิบัติ กับแม่ชีท่านหนึ่งบนชั้น
๒ ของที่พัก คุณแม่แลเห็นหมาผอมมากตัวหนึ่งข้างล่าง เดินโซเซไปมาเพราะไม่มีแรง ด้วยความเมตตา คุณแม่จึงบอกให้แม่ชีท่านหนึ่ง
เอานมผงละลายน้ำผสมกับเนสตุ้มธัญพืชใส่ปิ่นโตให้หมากินจนอิ่ม ก่อนนำไปให้หมากิน
คุณแม่ได้อธิษฐานว่า “ถ้าแม้มี ๑๐ คน ๑๐๐ คน ๑๐๐๐ คน ก็ขอเลี้ยงทุกคนให้อิ่ม” จากนั้น
คุณแม่ก็เดินจงกรมต่อที่ชั้น ๒ อีกซักพัก
แล้วได้มองกลับลงไปข้างล่าง ตรงที่หมากำลังกินอยู่
ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่หมาผอม มองสวนขึ้นมาสบตาคุณแม่พอดี คุณแม่รู้สึกว่าตาทั้งคู่ของหมาผอมโซตัวนั้น เหมือนอยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ไม่ถึงคืบ
ขณะที่สบตากันนั้น จิตของคุณแม่คล้ายรับรู้จากจิตของหมาผอมตัวนั้น พร้อมกับประโยคที่ผุดขึ้นในใจว่า
“คุณแม่ปราราถสิ่งใด ขอให้คุณแม่ได้รับสิ่งนั้น” คุณแม่จึงกลับไปเดินจงกรมต่อ
ซักพักมองกลับไปก็ไม่พบหมาผอมตัวนั้น มันคงเดินจากวิเวกอาศรมออกไป พร้อมกับความสุขจากอาหารที่ได้รับ
นับแต่นั้นมาคุณแม่บอกว่า ไม่เคยอดข้าวปลาอาหารอีกเลย แถมยังได้ผลไม้ดีๆ มาวางที่หน้าห้องในวิเวกอาศรม
ตลอดมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ทานบารมีเรื่องที่สอง
เกิดขึ้นตอนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยมีฐานะดีมาก่อน เข้ามาอาศัยในวิเวกอาศรม พร้อมกับลูกเล็กๆ
๓ คน เพราะหมดตัวจากธุรกิจและยังสูญเสียสามีไปอีกคน
เนื่องจากสามีถูกฆ่าตายโดยไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินใดๆ ไว้ให้เลย แม่ลูก ๓ คนจึงไม่รู้จะไปพึ่งใคร
ได้เข้ามาอาศัยที่นี่ชั่วคราว
อยู่มาวันหนึ่งคุณแม่ได้ยินเสียงลูกน้อยอายุ ๑ เดือนของหญิงน่าสงสารคนนั้น
ร้องไห้งอแงส่งเสียงดัง คุณแม่จึงเดินเข้าไปดูเด็ก
เห็นพี่สาวของเด็กเอาขวดนมซึ่งมีแต่น้ำเปล่าให้น้องกิน
ขณะนั้นแม่เด็กกำลังทำอาหารให้โยคีทาน โดยแม่เด็กบอกคุณแม่ว่า ไม่มีเงินซื้อนมแม้แต่บาทเดียว ด้วยความกรุณาที่ผุดขึ้นในจิตของคุณแม่
จึงหยิบเงินในกระเป๋ามอบให้ ๕๐๐ บาท แก่หญิงผู้น่าสงสาร
บอกให้ไปซื้อนมให้ลูกน้อยกิน
ต่อมาลูกอายุ ๓ ขวบอีกคนของหญิงคนนี้ ถูกหมากัดหัวขณะวิ่งตามแม่ และร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ คุณแม่เห็นเข้าจึงหยิบเงินให้อีก ๑,๐๐๐ บาท เพื่อพาลูกไปหาหมอ ขณะที่คุณแม่ส่งมอบเงินให้ หญิงอาภัพได้ทรุดตัวลงกับพื้น พร้อมกับร้องไห้โฮด้วยน้ำตา อยู่นานตรงที่เท้าของคุณแม่ ด้วยความซาบซึ้งในมิตรไมตรี ของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับหยิบยื่นเงินให้เหมือนกับคนใกล้ชิดในครอบครัว เมื่อรับเงินเสร็จก็พาลูกไปหาหมอ จากนั้นไม่นานคุณแม่ต้องเดินทางกลับไป จ.อุบลฯ และก่อนออกจากวิเวกอาศรม หญิงอาภัพได้เดินมาส่งและไม่อยากให้คุณแม่จากไป ด้วยการจับขาดึงไว้ แต่ก็รั้งไม่อยู่เพราะท่านมุ่งมั่นต้องการออกธุดงค์ และจากวิเวกอาศรมไปด้วยปีติในทาน ๒ ครั้งที่ไม่เคยลืมแก่หมาผอมและหญิงอาภัพ
ต่อมาลูกอายุ ๓ ขวบอีกคนของหญิงคนนี้ ถูกหมากัดหัวขณะวิ่งตามแม่ และร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ คุณแม่เห็นเข้าจึงหยิบเงินให้อีก ๑,๐๐๐ บาท เพื่อพาลูกไปหาหมอ ขณะที่คุณแม่ส่งมอบเงินให้ หญิงอาภัพได้ทรุดตัวลงกับพื้น พร้อมกับร้องไห้โฮด้วยน้ำตา อยู่นานตรงที่เท้าของคุณแม่ ด้วยความซาบซึ้งในมิตรไมตรี ของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลับหยิบยื่นเงินให้เหมือนกับคนใกล้ชิดในครอบครัว เมื่อรับเงินเสร็จก็พาลูกไปหาหมอ จากนั้นไม่นานคุณแม่ต้องเดินทางกลับไป จ.อุบลฯ และก่อนออกจากวิเวกอาศรม หญิงอาภัพได้เดินมาส่งและไม่อยากให้คุณแม่จากไป ด้วยการจับขาดึงไว้ แต่ก็รั้งไม่อยู่เพราะท่านมุ่งมั่นต้องการออกธุดงค์ และจากวิเวกอาศรมไปด้วยปีติในทาน ๒ ครั้งที่ไม่เคยลืมแก่หมาผอมและหญิงอาภัพ
หลังคุณแม่ได้ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานจนเป็นที่พอใจแล้ว
ท่านเคยคิดไว้ว่า พระสงฆ์ธุดงค์ได้ คุณแม่(แม่ชี)ก็น่าจะธุดงค์ได้เช่นกัน ท่านจึงตัดสินใจเดินทางไปกับแม่ชีอีกท่าน
โดยร่วมปฏิบัติธุดงค์อาศัยตามวัดต่างๆ ประสบการณ์ในระหว่างการเดินธุดงค์
ท่านเล่าว่า พระอาจารย์ตลอดเส้นทางที่รู้จักส่วนมาก สอนวิปัสสนากัมมัฏฐานและสอบอารมณ์ ได้ไม่ละเอียดเท่ากับพระอาจารย์ภัททันตะ
อาสภมหาเถระ ที่สำนักวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี เนื่องจากวัดส่วนใหญ่ยังขาดวิปัสสนาจารย์ ที่มีประสบการณ์
และส่วนมากเคยฝึกปฏิบัติแต่สมถกัมมัฏฐาน(สมาธิ) ทุกปีหลังออกพรรษา คุณแม่จะเดินธุดงค์ออกจากวัด
โดยไม่ได้อาศัยอยู่เป็นที่ประจำ จนชาวบ้านเรียกคุณแม่ว่า “แม่ชีล่องหน” เพราะเดี๋ยวอยู่เดี๋ยวไป พบเจอตัวได้ยาก
ในช่วงที่ออกจากวิเวกอาศรม
กลับไปอาศัยอยู่ที่วัดป่าใหญ่ จ. อุบลฯ คุณแม่ได้ทำทานบารมีเป็นครั้งที่ ๓
ซึ่งจดจำได้ไม่เคยลืมจนท่านต้องเล่าให้ฟังว่า ท่านพบผู้หญิงโคราชคนหนึ่งที่ได้เช่าที่ปลูกไร่มันสำปะหลังอยู่ที่
อ.หนองกี่ สามีของเธอได้จากเธอไปเพื่อหางานทำที่ จ.อุบลฯ และไม่ได้ติดต่อหรือส่งเงินกลับบ้านเลย
จึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่มีเงินซื้ออะไรกินเพราะยากจนมาก ผู้หญิงคนนี้มีลูก ๒ คน วันๆ
กินแต่ยอดมันสำปะหลังกับข้าว ผสมเกลือหรือน้ำปลา อยู่มาวันหนึ่งพี่สาวของสามี ถามว่าอยากไปตามหาสามีที่
จ.อุบลฯ ไหม และจะให้ยืมเงินเป็นค่าเดินทาง ๕๐๐ บาท ทั้ง ๒ จึงชวนกันนั่งรถมาถึงอุบลฯ เมื่อมาถึงนอกจากพี่สาวจะไม่ได้ให้เงินไว้แล้ว
ยังปล่อยทิ้งหญิงคนนี้ซึ่งมากับลูกไว้ที่นี่
เนื่องจากไม่มีเงินกินข้าว แม่และลูกจึงเดินไปหาตำรวจให้ช่วย จากนั้นตำรวจจึงพาไปวัดป่าใหญ่ เพื่อให้พระสงฆ์ช่วยหาอาหารและจัดหาที่พักชั่วคราวให้ พระภิกษุจึงพาไปหาหัวหน้าแม่ชี เนื่องจากเป็นผู้หญิง หัวหน้าแม่ชีจึงนำเพียงข้าวกับน้ำปลา
มาให้แม่ลูกกินเท่านั้น แม้ว่าจะมีปลาที่เก็บไว้ให้แมวกินก็ตาม
พอคุณแม่ทราบเรื่อง
ท่านจึงขออนุญาตให้แม่ลูก ๒ ไปนอนกับคุณแม่
แต่แม่ชีตุ๋ยเพื่อนคุณแม่บอกให้ไปนอนกับเขา เพราะห้องของเขาใหญ่กว่า วันต่อมาหลังจากบิณฑบาต คุณแม่มอบเงินให้แม่ลูก
๒ คนไป ๗๐ บาท และแม่ชีตุ๋ยให้อีก ๔๐ บาท พร้อมกับอาหารครบถ้วน ขณะที่มอบเงินให้กับแม่ลูกทั้ง ๒ หญิงคนนั้นเกิดความซาบซึ้งอย่างมาก
ได้ก้มลงกราบเท้าคุณแม่ด้วยน้ำตา ที่ไหลหยดลงใส่เท้าคุณแม่ จากนั้นคุณแม่ได้พาไปขึ้นรถกลับโคราช
โดยฝากไปกับคนขับรถโดยสารที่คุณแม่รู้จัก และไม่ได้เก็บเงินค่าโดยสารแต่อย่างไรตามคำขอของคุณแม่ ก่อนขึ้นรถ คุณแม่เจอเพื่อนที่ขายอาหาร
เพื่อนคนนี้ได้ถวายไก่ย่างกับ ข้าวเหนียวแก่คุณแม่
แต่คุณแม่กลับมอบไก่ย่างและข้าวเหนียวทั้งหมด ให้แก่แม่ลูกทั้ง ๒ เพื่อกินในระหว่างทางกลับเพราะกลัวจะหิว ทันทีที่มอบอาหารให้เป็นครั้งสุดท้าย
หญิงคนนั้นได้ทรุดตัวลง และกราบขอบพระคุณคุณแม่ เพราะนึกไม่ถึงว่าคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จะช่วยเหลือหาที่พักให้
มอบเงินค่าเดินทาง ส่งขึ้นรถกลับ และมอบอาหารให้กินบนรถ
ทานครั้งนี้เป็นเรื่องที่คุณแม่ประทับใจอย่างไม่เคยลืมเลือน จนต้องมาเล่าให้ฟัง
ตอนใกล้จะออกพรรษา
คุณแม่อยากจะธุดงค์ต่อไปและไปกราบลาเจ้าอาวาส
ทีแรกท่านพยายามห้ามไม่ให้ออก เพราะอยากให้ช่วยสอนพระเรื่องอภิธรรมที่เคยเรียนมา แต่คุณแม่คงยืนกรานที่จะออกธุดงค์
จนในที่สุดท่านได้ออกจากวัด เดินทางสู่วัดพระพุทธบาตรตากผ้า จ.ลำพูน โดยอยู่ที่นั้นเดือนกว่า
แล้วธุดงค์ต่อไปยัง วัดพระนอนม่อนช้าง ซึ่งที่วัดนี้ คุณแม่เล่าว่า อาหารที่ทาน มีแต่อาหารมังสวิรัติ
วันหนึ่งมีพระภิกษุมาถามคุณแม่ว่า
จะไปปฏิบัติธรรมและนอนในป่าช้าได้ไหม ท่านตอบว่าได้ ท่านได้ปักกลดให้ทันทีที่ข้างหลุมฝังศพ
กลางวันคุณแม่อยู่ได้สบาย แต่พอวันนั้นประมาณ
๖ โมงเย็น คุณแม่ก็เริ่มกลัว พอลมพัดวูบ ก็สะดุ้ง ใบไม้หล่นลงมากระทบกัน
ก็สะดุ้งกลัวจนน้ำตาไหล กลัวอยู่อย่างนั้นจนถึง ๓ ทุ่ม แล้วจิตถามตัวเองว่า กลัวอะไร จิตอีกดวงตอบกลับว่า
กลัวผี จิตดวงแรกถามอีกว่า ผีอยู่ที่ไหน จิตตอบว่า
ผีอยู่ใต้ที่เรานั่ง จิตถามอีกว่า เห็นมันแล้วหรือ จิตตอบว่ายังไม่เห็น
ไม่เห็นแล้วกลัวทำไม จิตตอบต่อโดยคิดว่าเดี๋ยวผีก็จะโผล่ขึ้นมา จิตถามอีกว่า
ไม่เห็นแล้วมันจะโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร
ถ้าเผื่อมันโผล่ขึ้นมาจะทำอย่างไร มันยังไม่โผล่ขึ้นมาแล้วกลัวอะไรกันแน่
จิตถามตอบกันอยู่อย่างนั้นจนถึง ๓ ทุ่ม จนสุดท้ายจนตรอก จิตได้ตอบว่า กลัวตาย และจิตได้บอกว่า
อยู่ที่ไหนก็ตาย อยู่ป้าช้าก็ตาย อยู่กุฏิก็ตาย จะให้เลือกอยู่ที่ไหน จิตตอบเองว่า อยู่ป่าช้าดีกว่าอยู่กุฏิ
เพราะทำให้มีสติดีระวังภัยได้มากกว่า
จากนั้นจิตรู้สึกว่างสบายสงบ คล้ายหัวระเบิดออกทำให้รู้สึกเบา โล่ง
โปร่งสบายมากเลย เป็นผลให้รู้สึกไม่กลัวตายแล้วอีกต่อไป พอถึงตอนเช้า พระท่านได้ถามคุณแม่ว่า
เมื่อคืนเป็นอย่างไร กลัวไหม คุณแม่ตอบว่า โอ๊ยท่านกลัวแทบตายเลยตั้งแต่ ๖
โมงจนถึง ๓ ทุ่มถึงได้หายจากความกลัว
จากที่ป่าช้าคุณแม่ได้ธุดงค์ต่อและปักกลดอยู่ใกล้ป่าแห่งหนึ่ง
ที่ตรงนั้นคุณแม่พบเห็นงูตัวหนึ่ง เลื้อยขึ้นทางรูข้างกลดที่คุณแม่นั่งสมาธิอยู่ งูได้โผล่ขึ้นมาข้างกายอย่างคาดไม่ถึง ทำให้คุณแม่รู้สึกว่ากำลังอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้กลัว ท่านใช้สติและอธิษฐานจิตไปว่า ถ้างูตัวนี้เคยมีวิบากกรรมกับคุณแม่มาก่อน
ขอให้ชดใช้บาปกรรมกันไปในชาตินี้ พร้อมกับแผ่เมตตาในบุญกุศลทั้งหมดที่คุณแม่ได้เคยทำมา
มอบให้กับงูดุร้ายตัวนี้
พอแผ่เมตตาเสร็จงูไม่ได้ทำร้ายคุณแม่แต่กลับเลื้อยหายออกไป
ท่านอยู่ที่นั่นจนมีความคิดว่าถึงเวลาธุดงค์ต่อไปที่อื่น
จึงบอกกับชาวบ้านแถวนั้นว่าจะไปธุดงค์
ชาวบ้านอ้อนวอนคุณแม่ว่า อย่าไปเลย ไม่อยากให้ไป อยากให้ประจำอยู่ที่นี่และไม่ยอมให้ไป
แต่ในที่สุดคุณแม่จำเป็นต้องจากไปเพราะต้องการธุดงค์ต่อ
เมื่อชาวบ้านทราบว่าคุณแม่ ได้เดินออกจากวัด จึงพากันวิ่งตามคุณแม่ เพื่อถวายของให้คุณแม่
เพราะไม่รู้จะตอบแทนคุณแม่อย่างไร ที่เคยเมตตาชาวบ้านด้วยการแบ่งอาหาร ให้เด็กกินก่อนไปโรงเรียนและสอนธรรมะให้ชาวบ้านตามโอกาส
ก่อนจากกันคุณแม่ยังสอนธรรมะ และสอนให้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจริงจังต่อเนื่อง
เพื่อตอบแทนคุณแม่และพุทธศาสนาอีกด้วย
จากนั้นคุณแม่ธุดงค์ไปที่วัดห้วยบง
จ. ลำพูน มีเจ้าอาวาสชื่อ ท่านครูบาวงศ์ พักอาศัยเป็นเวลา ๒ คืน ที่นี่ชาวบ้านแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเขา
และต่อไปที่วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย ระหว่างธุดงค์ไปภาคเหนือ
ท่านได้ธุดงค์ผ่านวัดแห่งหนึ่งที่มีพระภิกษุมาเข้าพิธีปริวาสกรรมประมาณ ๕๐๐ รูป โดยพักอยู่ที่วัดนี้
๙ วัน ที่นี่คุณแม่ได้พบกับสามเณรอายุ ๑๙
ปี นามว่า สามเณรกิตติพงศ์ ท่านสังเกตเห็นผ้าไตรจีวรของสามเณรอยู่ในสภาพเก่ามาก
ท่านจึงคิดอยากจะถวายของใหม่ให้ เมื่อมีโอกาส
ด้วยเหตุอันใดหรืออะไรดลใจไม่ทราบ ในงานปริวาสกรรมครั้งนี้ มีฆราวาสและพระสงฆ์รวมกันประมาณ
๗๐๐ รูป/คน สามเณรรูปนี้ไม่เคยรู้จักคุณแม่มาก่อน แต่กลับได้มอบถวายพระบรมสารีริกธาตุครึ่งหนึ่งจากที่มี
มอบให้แก่ ๔ ท่านในงานนี้เท่านั้น ได้แก่
๑.เจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ ๒.เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม ๓.แม่ชีบุญมี เวชสาร
๔.แม่ชีรุ้งดาว เมื่อได้รับมาบูชาแล้วคุณแม่เล่าว่า
ได้แบ่งถวายมอบพระบรมสารีริกธาตุให้กับคนที่รู้จัก บางคนที่ศรัทธาพระบรมสารีริกธาตุ จะเพิ่มจำนวนขึ้นเอง
แต่บางคนที่ไม่ศรัทธาพระบรมสารีริกธาตุ กลับหายไปเองได้
หลังจากแบ่งพระธาตุเสร็จ
สามเณรเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์แปลกๆ ถึงสาเหตุที่ได้รับอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุว่า
แต่เดิมท่านชอบธุดงค์ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี โดยไม่ชอบอยู่จำวัดกับคนหมู่มาก ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ธุดงค์เข้าไปในป่าลึก
พบผู้ชายคนหนึ่งเดินมาจากที่ใดไม่ทราบ เข้ามาหาเพื่อมอบโกฐ พร้อมพระบรมสารีริกธาตุให้
๑ ชุด โดยบอกให้นำไปสร้างเจดีย์บรรจุ แล้วเดินหายเข้าไปในป่าลึกอย่างแปลกประหลาด ว่าเป็นใครมาจากไหน
หลังจากเสร็จพิธีปริวาสกรรม
คุณแม่ได้ธุดงค์ร่วมไปกับคณะพระสงฆ์ต่อไปยังภาคเหนือ ในระหว่างทางคุณแม่กับสามเณรกิตติพงศ์
ได้แยกทางกับคณะพระสงฆ์ เพื่อธุดงค์ต่อไปยังฝั่งประเทศพม่า ท่านเล่าว่าวันหนึ่งทั้ง ๒ ได้เดินธุดงค์เข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง
จู่ๆ มีน้ำป่าทะลักไหลเข้ามาสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเข่า เอว หน้าอกจนถึงระดับคอ ซึ่งทำให้คิดว่าระดับน้ำสูงจนอยู่ในช่วงใกล้ความตาย
คุณแม่จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากเคยมีบุญบารมีมาก่อน ก็ขอให้น้ำป่าลดลง อย่าได้จมเสียชีวิตอยู่ในน้ำป่าแห่งนี้เลย
ชั่วครู่เดียวระดับน้ำป่าหยุดท่วมแค่ที่ระดับคอ
และจะเพราะด้วยแรงอธิษฐานหรืออย่างไรไม่ทราบ ในเวลาไม่นานน้ำป่าได้ค่อยๆ ลดลงจนปลอดภัยเป็นที่อัศจรรย์
เมื่อระดับน้ำลดแล้วได้
ท่านได้เข้าไปหลบพักหลับในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพที่เปียกปอนและเหนื่อยล้า ขณะที่พักอยู่ครู่ใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้จากความชื้น
แต่อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงนุ่งผ้าถุงท่านหนึ่ง ซึ่งบริเวณนั้นไม่น่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่ และรู้ได้อย่างไรว่าต้องการอาหาร
ได้เดินเข้ามาหาในถ้ำแล้วถวายอาหารที่ประเมินค่าไม่ได้
เนื่องจากถ้ำแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไปในป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน หลังจากสามเณรและคุณแม่ฉันท์อาหารเสร็จ
สักครู่เดียวรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ และหายจากอาการเกือบจะเป็นไข้ทันที
เพราะคุณค่าในสารอาหารที่ได้รับ จากนั้นอยู่ในถ้ำอีกไม่นานจึงเดินทางต่อ
ท่านได้ธุดงค์ลึกเข้าไปในเขตพม่า
โดยระหว่างทางมีชาวพม่าบิณฑบาตอาหาร ขนม และเงินให้ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ซึ่งฝังแน่นในวิถีชีวิตชาวพม่า เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนพบกับแม่ชีสวมชุดสีชมพู
ตามแบบของพม่า และพยายามคุยกันด้วยภาษามือ คุณแม่จับใจความได้ว่า แม่ชีชาวพม่าชวนให้อาศัยค้างที่วัดของเขา
๑ คืน พอรุ่งเช้าแม่ชีชาวพม่าใช้ภาษามือห้ามไม่ให้เดินทางลึกเข้าไปมากกว่านี้ในดินแดนพม่า
เพราะระหว่างทางอาจจะถูกกองทหารพม่าไม่ทราบฝ่ายฆ่าหรือปล้นได้ ดังนั้นคุณแม่และสามเณรจึงไม่ดื้อรั้นและเดินกลับไปยังฝั่งไทยที่
จ.อุบลราชธานี เมื่อเดินทางกลับถึง จ. อุบลฯ คุณแม่ได้ซื้อจีวรใหม่ถวายให้แก่สามเณรตามที่ตั้งใจไว้ครั้งแรกที่พบ
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๗
คุณแม่และสามเณรได้ร่วมธุดงค์กับคณะของอดีตพระอาจารย์ยันตระ ไปที่ จ.ศรีสะเกษ
และเลยต่อไปที่ จ.จันทบุรี ในระหว่างทางไป
จ.จันทบุรี คุณแม่ต้องร่วมเดินทางไปกับรถเสบียง ซึ่งนั่งกันเต็มคันรถ แต่ทุกคนจำเป็นต้องขยับที่นั่งอันคับแคบ
เพื่อแบ่งให้คุณแม่นั่งไปด้วยอย่างเบียดเสียด
ระหว่างเดินทางทุกคนนั่งอย่างอึดอัด ทำให้คุณแม่ถูกดุตำหนิตลอดทาง จากแม่ชีอาวุโสท่านหนึ่งที่ต้องนั่งอย่างอึดอัด และรู้สึกเมื่อยล้าจนเป็นทุกข์
เนื่องจากนอนไม่ค่อยหลับ ตลอดเส้นทางคุณแม่ต้องกำหนดเสียงตำหนิบ่นไปตลอดทางจากแม่ชีอาวุโส
นอกจากคุณแม่จะไม่ตอบโต้กลับแล้ว
ยังรู้สึกสงสารและเมตตาแก่แม่ชีท่านนั้น
เมื่อรถถึงที่พัก แม่ชีอาวุโสคงสงสัยว่าทำไมคุณแม่วางเฉยได้ไม่พูดอะไรตลอดทาง
ท่านจึงเข้ามาสนทนาถามคุณแม่ว่า คุณแม่แยกรูปนามได้หรือยัง คุณแม่เลยสอนเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่
กลุ่มแม่ชีอาวุโสและอีกหลายคนพร้อมกัน
เมื่อสนทนาธรรมะกันเสร็จ
แม่ชีอาวุโสขอโทษคุณแม่เรื่องที่ดุว่าบนรถ คุณแม่ตอบกลับว่าท่านให้อภัยตั้งแต่ที่เริ่มดุด่าคุณแม่บนรถแล้ว
โดยอธิษฐานในใจเพิ่มว่า
ไม่ขอเอาโทษกับแม่ชีอาวุโสและอย่ามีเวรกรรมต่อกันอีกเลย ช่วงท้ายก่อนจากกัน
ท่านยังถามคุณแม่ว่าไปฝึกปฏิบัติที่ไหนมา
คุณแม่บอกว่าได้ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากสำนักวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี ครั้นถึง จ.จันทบุรี คุณแม่ได้ต่อไป จ.เพชรบุรี
ซึ่ง ท่านได้แยกทางกับสามเณรกิตติพงศ์ที่นี่ และไม่เคยได้พบกับท่านอีกเลยตราบจนทุกวันนี้
ต่อมาคุณแม่กลับไปวัดป่าใหญ่
จ.อุบลฯ โดยหัวหน้าแม่ชี ให้โอกาสคุณแม่อาศัยอยู่และให้เรียนอภิธรรม จนจบจุลตรี
เป็นเวลา ๖ เดือน พอขึ้นชั้นจุลโท มอบหมายให้คุณแม่สอน
พระเณรที่เรียนชั้นจุลตรี ในระหว่างที่สอน
คุณแม่ได้สอดแทรกการสอนวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานไปด้วย กิจกรรมของคุณแม่ช่วงนั้นคือ ตอนเช้าเรียนชั้นจุลโท
กลางวันทำงาน และตอน ๖ โมงเย็นสอนชั้นจุลตรี
ต่อมาคุณแม่บอกกับตัวเองว่า ไม่อยากเรียน และสอนปริยัติ(อภิธรรม) อีกต่อไป ท่านจึงตัดสินใจธุดงค์ต่อไปที่ จ.นครราชสีมา
ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และมาจบเส้นทางธุดงค์ที่ กรุงเทพฯ
ตลอดระยะเวลาธุดงค์หลังออกพรรษาประมาณ
๑๐ ปี สิ่งที่คุณแม่ได้รับคือ ความอดทนเข้มแข้ง
และความแข็งแกร่งของร่างกาย แม้ว่าคุณแม่จะเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าตลอดเส้นทาง ท่านเล่าว่า เช้าวันหนึ่งในขณะบิณฑบาตตอนเช้า เดินจนเท้าพอง
ทำให้ปวดแสบปวดร้อนที่เท้ามาก แต่ด้วยธรรมปีติจากวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยการกำหนดเดินจงกรม
และกำหนดเวทนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถแยกจิตออกจากเวทนาได้ โดยที่อาการปวดสักแต่ว่าปวด
ใจไม่รู้สึกทุกข์เวทนา และไม่ได้ปรุงแต่งตามอาการปวดเลย จึงทำให้การเกิดปีติเย็นซาบซ่านข้างในทั่วกาย
เช้าวันนั้นถึงแม้ว่าเท้าจะพอง คุณแม่ก็เดินเท้าบิณฑบาตอย่างเพลิดเพลินราบรื่นด้วยผรณาปีติ
เพราะด้วยอานิสงส์จากวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ช่วงปีพ.ศ. ๒๕๒๙
คุณแม่เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมผ่าตัดตา พอได้รักษาตาเสร็จแล้ว
คุณแม่จะขึ้นรถกลับไป จ.อุบลราชธานี แต่ไปไม่ทัน จึงได้ไปอาศัยที่ วัดอัมรินทร์
เขตบางกอกน้อย แต่ทางวัดไม่มีที่ จึงแนะนำให้ไปอาศัยอยู่ที่กุฏิแม่ชีเฉลิมศรี ในวัดนางชี
เขตบางขุนเทียน โดยที่คุณประภาพร น้องบุญธรรมของคุณแม่ เป็นผู้อุปถัมภ์ออกค่าน้ำไฟของกุฎิให้ประมาณเดือนละ
๕๐๐ บาท
ช่วงปลายทางธุดงค์ที่
กรุงเทพฯ คุณแม่ได้เข้าพักที่ วัดนางชี ทุกท่านที่มาศัยวัดนี้จะต้องตื่นตี ๔
เพื่อสวดมนต์ คุณแม่ได้ยินคำบอกเล่าว่า หากใครมานอนที่นี่ ถ้าไม่ตื่นสวดมนต์ตอนตี ๔ อาจจะได้ยินเสียงปลุก(ในฝัน)ว่า
“ถ้าไม่สวด ก็ให้ไปที่อื่น” เช้าวันหนึ่ง ท่านเล่าว่า
ได้รู้จักผู้หญิงท่านหนึ่งเป็นภรรยาของคุณสุรเดช
คุณแม่ตั้งชื่อให้ว่า คุณดวงใจ ซึ่งถูกผีเข้าและถูกพามาหาคุณแม่ที่กุฎิ ในขณะที่สนทนากันอยู่ พระธุดงค์ท่านหนึ่งชื่อ พระวิชัย
ซึ่งรู้จักคุณแม่มาประมาณ ๑๐ ปี แวะเข้ามาหาที่กุฎิ เมื่อท่านเห็นคุณดวงใจ
ก็บอกคุณแม่ทันทีว่า คุณดวงใจคนนี้ ไม่มีใครรักษาหายได้ ยกเว้นคุณแม่คนเดียว เพียงสวดรักษาจากคาถาหนังสือมนต์พิธีตรงหน้าต่างๆ
ที่พระวิชัยเขียนกากบากให้
เมื่อสวดเสร็จให้เอาน้ำมนต์อาบให้ในเวลา
๖ โมงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก ด้วยความเมตตาของคุณแม่
ท่านจึงอาสารับรักษาให้ แต่คุณแม่ยังไม่กล้าอาบน้ำมนต์ให้ เพราะเกรงว่าผีจะเข้าตัวเอง
คุณแม่จึงเรียก แม่ชีนงค์ ผู้ที่เคยรักษาด้วยไสยศาสตร์แก่ผู้อื่นมาก่อน มาอาบน้ำให้คุณดวงใจ พอคุณนงค์ราดน้ำมนต์ให้คุณดวงใจ
คุณดวงใจก็ร้องกรีดขึ้นมาทันที แล้วหันสายตามาพูดเสียงเข้มว่า กูไม่กลัว ทำให้รักษาไม่ได้ผล วันรุ่งขึ้นอยู่ๆ พระวิชัยก็กลับมาหาคุณแม่อีก
และบอกคุณแม่บอกว่า คุณแม่คนเดียวเท่านั้น ที่จะต้องเป็นคนอาบน้ำมนต์เพื่อให้หาย
ในที่สุดคุณแม่จึงต้องอาบน้ำมนต์ให้
พอเริ่มอาบ คุณดวงใจร้องกรีดอีกครั้ง แล้วร้องว่า “คุณแม่ งูออกจากซี่โครงหนูแล้ว”
จึงทำให้คุณดวงใจหายเป็นปกติ แต่ผลตีกลับสู่คุณแม่จริงๆ
โดยได้รับทุกข์เวทนาในอาการปวดเมื่อยมากทั้งตัว จนไม่สามารถเดินลงบันไดได้ จากนั้นอีก ๔ วัน พระวิชัยกลับมาหาคุณแม่อีก
และแนะนำให้ไปซื้อยาสมุนไพรที่เจ้ากรมเป๋อ
เพื่อให้คุณดวงใจกินแล้วจึงให้คุณแม่สวดมนต์ตามหนังสือมนต์พิธีอีกครั้ง
และให้เอาน้ำมนต์อาบตัวเอง
พอคุณแม่ได้ทำตามครบทุกอย่าง คุณแม่ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเลย จากนั้นมาคุณแม่เล่าว่า ต่อไปจะไม่รับรักษาคนผีเข้าอีกแล้ว
ที่พักของท่านที่นี่ในวัดนางชี
เป็นกุฏิไม้เก่า อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ปรากฎมี งูเห่าไผ่ เลื้อยเข้ามาอาศัยยั้วเยี้ยเต็มห้องไปหมดประมาณ
๑๐๐ ตัว พวกมันเข้ามาอยู่บนกันสาดของห้องน้ำเต็มไปหมด
คุณแม่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่ไป ท่านเลยต้องคอยระวังเวลาเดินเข้าห้องน้ำ และต้องคอยเอามือปิดหัวไว้เพื่อกันงูเห่าตกใส่
คุณแม่จำใจต้องทนอยู่อย่างระมัดระวังกับงูเห่าไผ่ เต็มกุฏิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเวลาถึง
๑ เดือน พอครบเดือน
คุณแม่ไปบอกกับแม่ชีเฉลิมศรี เจ้าของกุฏิที่วัดตะเคียน แม่ชีเฉลิมศรีบอกให้ไปบอก
เสาวภาหรือให้ที่เล่นงูข้างวัดมาจับงูไป พอคุยเสร็จ จิตท่านผุดขึ้นเองว่า “เรายังไม่อยากถูกขัง แล้วงูมันจะอยากถูกขังหรือ”
ต่อมาวันรุ่งขึ้น คุณแม่ได้ยืนหน้าเข้าไปในห้องน้ำ
แล้วพูดกับพวกงูเห่าว่า “ท่านกับข้าพเจ้า อยู่กันคนละภพละภูมิ พวกท่านอย่าอยู่ตรงนี้เลย
ที่นี่เป็นกุฎิมนุษย์ ให้ท่านไปอยู่ตรงที่ท่านเคยอาศัย หากพวกท่าน(งู)ไม่ออกไปจากห้อง พรุ่งนี้เขาจะมาจับท่านไปแล้วนะ
ขอให้พวกท่านย้ายออกไป จะได้ไม่เป็นอันตราย” วันต่อมาคุณแม่ตื่นขึ้นสำรวจดู ปรากฎว่างูเห่าหายไปหมดเลยอย่างอัศจรรย์
คล้ายกับเข้าใจคำพูดท่าน แต่ยังเหลืองูเห่าอยู่อีกตัวหนึ่ง
ในช่องตรงซอกประตูเหล็กทางเข้ากุฏิ
คุณแม่เลยเดินไปที่ซอกประตู พูดกับงูเห่าว่า ยังไปไม่หมดอีกหรือ ไปซิ แล้วจากไปทำธุระต่อ ในวันนั้นคุณแม่มีแขกมาหา สนทนาธรรมกันอยู่ ๒ -
๓ ชั่วโมง เมื่อสนทนาเสร็จ ท่านส่งแขกกลับและเดินไปดูงูเห่าที่เหลืออีกตัวเดียว
ปรากฎว่ามันได้เลื้อยออกจากกุฏิไปคล้ายกับว่า งูเห่าทั้งหมดเข้าใจภาษาคนได้จริง
ต่อมาอีก ๒ ปี
คุณแม่ได้รู้จักกับแม่ชีอุษา ที่อยู่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ แม่ชีอุษาแนะนำให้คุณแม่มาพักที่ วัดสัมพันธวงศาราม
วรวิหาร กรุงเทพฯ เพราะมีแม่ชีอาศัยอยู่ที่นั่นไม่กี่คน ยังมีที่พักอาศัยเหลืออยู่ คุณแม่จึงได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ และได้ช่วยทำงานในส่วนที่พักของแม่ชี หากช่วงใดว่าง ท่านจะเดินทางไปสำนักวิเวกอาศรม
จ.ชลบุรี เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน และช่วยแนะนำสอนผู้คนบ้างตามโอกาส คุณแม่เดินทางไปมาระหว่างสำนักวิเวกอาศรมและวัดสัมพันธวงศ์อยู่นาน
จนวันหนึ่ง พระครูสีหนารถ
เจ้าอาวาสวัดหนองปลิง จ.กำแพงเพชร ที่รู้จักกับคุณแม่มานาน แนะนำให้คุณแม่สอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้แล้ว พร้อมกับแนะนำญาติโยมให้มาฝึกปฏิบัติกับคุณแม่
ตั้งแต่นั้นมา
คุณแม่ได้สอนประจำอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ เพื่อสอนวิปัสสนาแก่ญาติโยม บริเวณใต้กุฎิ
อาคารที่พักเดิมของแม่ชี อยู่ใกล้กับองค์เจดีย์เก่า ต่อมามีลูกศิษย์มากขึ้น พื้นที่ในการสอนที่ใต้อาคารเก่าไม่เพียงพอและไม่สะดวกในการปฏิบัติ
ท่านจึงขอแม่ชีบุญมา มาสอนปฏิบัติอยู่ที่ห้องเล็กอีกฝั่งหนึ่ง ในที่สุดได้มาสอนปฏิบัติภายในศาลาหลวงปู่แหวน
สุจิณฺโณ ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ บริเวณระหว่างกลางของอาคารที่พักเดิมกับห้องเล็ก
เพื่อสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน แก่แม่ชีและญาติโยม ในสมัยก่อนศาลานี้จะเป็นที่เก็บของต่างๆ ของวัด
อีกทั้งยังมืดและมีของรุงรังไม่เรียบร้อย ท่านจึงขอความจากสามเณรในวัดเพื่อช่วยขนย้ายสิ่งของ
และร่วมทำความสะอาดสถานที่จนเป็นที่สัปปายะ
ลูกศิษย์จากสำนักวิเวกอาศรม ที่ทราบว่าคุณแม่ประจำอยู่ที่นี่ จะแนะนำโยคีมาฝึกวิปัสสนากับคุณแม่ที่กรุงเทพฯ
ต่อมาอีก ๒ – ๓ ปี คุณแม่เริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจ และจำเป็นต้องไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด เพื่อถนอมร่างกายของท่าน
จึงเดินทางไปพักที่ จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นบ้านลูกศิษย์ ของหลวงพ่อสีหนารถที่ศรัทธาคุณแม่
ถึงแม้จะย้ายไปพักผ่อนที่โน่น คนกรุงเทพฯ ยังตามไปหาท่านถึงที่จนได้ คุณแม่พักอยู่หลายเดือนที่กำแพงเพชร พร้อมๆ กับสอนวิปัสสนาไปด้วย
แม้จะมีอาการป่วยอยู่ก็ตาม ท่านเล่าว่าวันหนึ่งในคืนเดือนหงายที่บ้านหลังนั้น
คุณแม่อยู่ๆ ได้ยินเสียงเรียกว่า “คุณแม่ข๋า คุณแม่ข๋า” เมื่อคุณแม่เปิดประตูบ้านออกไปดู
ก็ไม่เห็นมีใคร แต่รู้สึกเหมือนเห็นคนเดินผ่าน แต่ไม่ค่อยชัด พอถึงวันก่อนที่คุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ
คุณแม่ได้ยินเสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้น อีกครั้งชัดเจน ทำให้คุณแม่นึกว่า ลูกศิษย์กำลังทะเลาะกัน สักครู่จำได้ว่าเสียงร้องไห้นั้นเป็นเสียงเดียวกันกับที่เรียก
คุณแม่ข๋า คุณแม่ข๋า ในคืนเดือนหงาย ท่านคิดว่าเจ้าของเสียงคงอาลัยที่คุณแม่จะต้องจากไป
เนื่องจากมีศิษย์มาปฏิบัติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จึงทำให้สถานที่ฝึกปฏิบัติเริ่มขับแคบ ทำให้พื้นที่ไม่เพียงพอ คุณแม่จึงมีดำริที่จะปรับปรุงภายในศาลาหลวงปู่แหวน
สุจิณฺโณ พร้อมกับสร้างอาคารที่พัก ๓ ชั้นเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ต่อมาเมื่อมีโอกาสในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ คุณแม่จึงได้นำเรื่องปรับปรุงนี้ เข้ากราบเรียนท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติเมธี(จำนง ธมฺมจารี) ตำแหน่งในอดีต ปัจจุบันได้รับตำแหน่งเป็น พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ เพื่อขออนุญาติดำเนินการก่อสร้างอาคาร
และได้รับคำแนะนำปรึกษาอย่างดี
ท่านเจ้าคุณได้เมตตาคุณแม่อย่างสูง พร้อมกับสนับสนุนในงานเผยแผ่วิปัสสนาธุระ และอำนวยความสะดวกแก่นักปฏิบัติ ท่านเจ้าคุณไม่เพียงแต่อนุญาติเท่านั้น
ยังได้ร่วมสนับสนุนเป็นเจ้าภาพด้านปัจจัย และสมทบทุนค่าก่อสร้าง โดยสร้างกองผ้าป่าให้อีกด้วย
นับจากนั้นอีก ๘ เดือน ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติเมธี ได้เป็นประธานผ้าป่า และได้นำเงินจากกองผ้าป่ามาร่วมบริจาคเป็นค่าก่อสร้างอาคารที่พักของผู้ปฏิบัติ
โดยที่ท่านเจ้าคุณเป็นผู้ตั้งชื่ออาคารที่พักว่า “สามัคคีมีบุญ” กองผ้าป่าของท่านเจ้าคุณได้มากถึงประมาณ ๑
ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากลูกศิษย์ของคุณแม่ ที่ได้ร่วมกันทำบุญสมทบอีก
๒ ล้านกว่า รวมค่าก่อสร้างอาคารสามัคคีมีบุญประมาณ
๓ ล้านบาท และได้สร้างเสร็จในปีพ.ศ. ๒๕๔๘
ตั้งแต่ที่คุณแม่บวชจนถึงปัจจุบัน
เวลาทั้งหมดที่ท่านให้กับลูกศิษย์ มีแต่เรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน,
การสอบอารมณ์(แนะนำผู้ปฏิบัติ ให้อยู่ในเส้นทางของวิปัสสนา
เพื่อเดินทางตรงเข้าสู่อารมณ์พระนิพพาน) และสนทนาธรรมแต่ในเรื่องการปฏิบัติเท่านั้น คุณแม่จะไม่เน้นเรื่องการบรรยายทฤษฎี
หรือให้ไปศึกษาทฤษฎี(ปริยัติ)ก่อน ท่านจะสอนวิธีปฏิบัติโดยให้ลูกศิษย์ลงมือฝึกทันที
และสอนให้เห็นประสบการณ์จริง ที่เกิดขึ้นกับจิตของตน
พร้อม ๆ ไปกับการแนะนำแก้ไขการปฏิบัติ ที่เรียกว่า การสอบอารมณ์ คุณแม่สอนว่าการสอบอารมณ์ เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎี หรือปริยัติเคียงคู่ไปกับการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน และการปฏิบัติจะขาดการสอบอารมณ์ไปไม่ได้
ท่านได้เริ่มสอนปฏิบัติอย่างจริงจังนับตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยรูปแบบการกำหนด พองหนอ ยุบหนอ ตามแนว ของสำนักวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี
ซึ่งเป็นต้นแบบของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่สอนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่ที่คุณแม่บวชชีจนมาถึงปัจจุบัน งานด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานหรือวิปัสสนาธุระ เป็นเพียงกิจกรรมหลักอย่างเดียวของท่าน
ซึ่งลูกศิษย์ใกล้ชิดจะทราบดีว่าท่านจะสอนวิปัสสนา แก่ลูกศิษย์ที่เดินทางมาหาทุกคน ด้วยความเมตตาเท่ากันทุกคน
ถึงแม้ท่านจะป่วยหนักมากก็ตาม จนบางครั้งถึงกับถูกนำส่งโรงพยาบาลหลังจากจบการสนทนา
โดยที่ลูกศิษย์ไม่มีรู้ เพราะท่านจะไม่เคยบอกใครเลยว่า ท่านไม่ไหวแล้ว ท่านป่วยมาก
หรือขอหยุดสนทนากับลูกศิษย์คนใด ตลอดชีวิตของการบวช ท่านได้เป็นพุทธบริษัท ๔
ที่สมบูรณ์แบบ เพราะมีความมุ่งมั่นในการเผยแผ่วิปัสสนากัมมัฏฐาน ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของท่าน
และเชื่อว่าแม่ชีบุญมี เวชสาร จะดำรงค์อยู่ในจิตใจของลูกศิษย์ทุกคน อย่างไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป
รวบรวมจากการสัมภาษณ์
แม่ชีบุญมี เวชสาร
โดย อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙
โดย อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙
----------------------------------------------------