ดินแดนสุวรรณภูมิแถบนี้
ปรากฏซากศพมนุษย์อายุ ๒๐,๐๐๐ ปี แต่เผ่าพันธุ์ได้สูญสิ้นไปสมัยใดไม่ทราบ ศูนย์กลางของชนชาติไทย ราว ๔,๐๐๐
ปีที่แล้วอยู่ภาคเหนือของลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ต่อมาร่นมาทางใต้เรียกว่า เผ่าไทย ที่ตั้งของเมืองไทยอยู่ในยูนานและเสฉวน เมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้วในเขตลุ่มเจ้าพระยา
มีมนุษย์เผ่าละว้า ตั้งบ้านเรือนอย่างง่ายๆ ขึ้น
ต่อมาชาวอินเดียได้เข้ามาสอนอารยธรรมและตั้งอาณาจักรขึ้นปกครองชาวพื้นเมืองละว้า
พุทธศาสนาเริ่มถูกเผยแผ่เป็นครั้งแรกในประมาณปีพ.ศ.
๒๓๕ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้อุปถัมภ์ ด้วยการส่งพระธรรมทูต ๒ ท่านคือพระโสณะและพระอุตตระ
เดินทางสู่ดินแดนแถบนี้ที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ซึ่งมีมากกว่า ๗ ประเทศรวมกันเช่น ไทย
พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย โดยมีพวกละว้าและมอญโบราณอาศัยอยู่ แต่หลักฐานใน“หนังสือ ๒,๔๐๐ ปีในแหลมทอง”
ได้แสดงไว้ว่า แท้จริงชนชาติไทยมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ก่อน ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีมาแล้วในบริเวณแหลมทองหรือสุวรรณภูมิ และนับว่าเป็นครั้งแรกของดินแดนนี้ที่ได้เริ่มนับถือพุทธศาสนา
ผืนแผ่นดินจุดแรกของอาณาจักรสุวรรณภูมิหรือที่เรียกกันว่า
"แหลมทอง"
ซึ่งท่านพระโสณะกับพระอุตตระได้เดินทางจากชมพูทวีปเข้ามาประดิษฐานนั้น จดหมายเหตุของหลวงจีนเหี้ยนจังเรียกว่า
"ทวาราวดี" สันนิษฐานว่าได้แก่ที่จังหวัดนครปฐม เพราะมีโบราณสถานและโบราณวัตถุต่างๆ
เช่น พระปฐมเจดีย์ศิลารูปพระธรรมจักร เป็นต้น ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานประจักษ์พยานอยู่ว่าพระพุทธศาสนาที่เข้ามาในครั้งนี้เป็นแบบเถรวาทดั้งเดิม
ยุคอาณาจักรฟูนัน
กษัตริย์พระองค์แรกของไทยที่นับถือพระพุทธศาสนามีพระนามว่า ขุนหลวงเม้า ในช่วงปีพ.ศ.
๖๐๐ สมัยอาณาจักรอ้ายลาวที่รับอารยธรรมมาจากอินเดียเต็มที่ ยุคนี้การศึกษาพุทธศาสนารุ่งเรืองมากด้านคำสอนและศาสนวัตถุ
โดยมีทั้งแบบเถรวาทและมหายานร่วมกับศาสนาพราหมณ์
ในยุคลพบุรี
ศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๘ พม่าได้โจมตีพวกมอญโดยยึดเอานครปฐมไป
พระเจ้าอโนรชากษัตริย์พม่า ได้กวาดต้อนพระสงฆ์และศิลปกรสาขาต่างๆ กลับสู่พม่าจำนวนมาก
โดยทิ้งอาณาบริเวณให้พวกขอมครอบครอง ต่อมามีการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ
และศาสนสถานเพิ่มเติม ในยุคนี้มีเทวสถานที่ลือชื่อมากเช่น ปราสาทเขาพระวิหาร
ปราสาทหินพิมาย และพระปรางค์สามยอด ชาวบ้านที่เป็นพวกขอมจะนับถือพราหมณ์(ลัทธิศิวเวท)
และพุทธศาสนามหายานผสมกัน
ช่วงศตวรรษที่ ๑๘
เกิดอาณาจักรน่านเจ้าปกครองโดยราชวงศ์เม็งราย เมื่อพระเจ้าเม็งราย, พ่อขุนรามคำแหง และพระเจ้างำเมือง
ได้ร่วมสาบานว่าจะไม่เป็นศัตรูกัน พร้อมกับจะร่วมรบปราบ อาณาจักรมอญแถบลุ่มแม่น้ำปิง จนในที่สุดสำเร็จและได้จัดตั้งนวปุรีศรีนครพิงค์
เชียงใหม่ เป็นเมืองหลวงที่เป็นปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรลานนาไทย
ยุคต่อมาคือสมัยสุโขทัย
ดินแดนที่ปกครองโดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พระร่วง) ด้วยการบริหารแบบพุทธศาสนา ได้ตั้งมั่นในสุโขทัยและเลิกนับถือพุทธศาสนามหายานแบบขอม ท่านยังนำเอาระบบปกครองตามแนวของพุทธศาสนาเถรวาทมาใช้
โดยได้รับพระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์จากพระสงฆ์ชาวลังกา(ลังกาวงศ์) ยุคนี้เริ่มปรากฏในประวัติศาสตร์บันทึกว่ามีพระสงฆ์ ฝ่ายอรัญวาสีคือมุ่งเน้นวิปัสสนาธุระมากโดยพบได้จากซากวัดที่สุโขทัย
เชียงใหม่ และสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานสาขา ที่ วัดพระยืน จ.ลำพูน แม้พระสงฆ์สมัยนั้นจะได้รับการฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานบ้าง
แต่สำหรับชาวบ้านส่วนมากยังมุ่งเน้นการทำมาหากินมากกว่าการปฏิบัติกัมมัฏฐาน
ต่อมาสมัยอยุธยา
ในศตวรรษที่ ๒๓ ปรากฏเรื่องวิปัสสนาธุระ โดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(ศุข) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า
พระสังฆราชไก่เถื่อน(เจ้าอาวาสองค์ที่ ๔ ของวัดมหาธาตุฯ จ.อยุธยา) ซึ่งเคยจำพรรษาที่วัดลานลอย
อ.กรุงเก่า ส่วนพระสงฆ์ด้านวิปัสสนาธุระฝ่ายอรัญวาสีอีกท่านคือพระวิสุทธาจารย์เถระ(เจ้าอาวาส
วัดประดู่ทรงธรรม อ.กรุงเก่า) ได้เผยแผ่วิปัสสนาจนกระทั่งมรณภาพในยุครัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นถึงยุคกรุงธนบุรี พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมากด้านศาสนสถาน
เพราะมีการสร้างวัดมากมาย และจำนวนพระสงฆ์เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องตามชำระพระอลัชชี(พระนอกรีต)
ด้วยการจับมาสึก ยุคนี้คือยุคแรกที่สถาปนาองค์พระสังฆราช
และยังได้ลอกพระไตรปิฎกลงในใบลาน อีกทั้งยังได้คัมภีร์วิสุทธิมัคค์จาก ประเทศเขมรอีกด้วย ถึงกระนั้นการปฏิบัติธรรมก็ยังคงไม่แพร่หลายแก่ชาว
บ้าน โดยที่ประวัติมิได้กล่าวถึงเรื่องกัมมัฏฐานมากนัก แต่พระเจ้าตากสินทรงเคร่งครัดและฟื้นฟูพุทธศาสนา เมื่อใดที่เสร็จราชการ
ท่านจะทรงเข้าปฏิบัติกัมมัฏฐานที่วัดบางยี่เรือ (วัดอินทาราม ในปัจจุบัน) เรียกว่า
ลักษณะบุญ โดยมิได้อธิบายละเอียดเป็นหลักฐานว่าปฏิบัติด้วยรูปแบบใด
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑ ได้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อพ.ศ.
๒๓๓๒ และเริ่มก่อสร้างวัดกับพระพุทธรูปหลายแห่ง
ต่อมาได้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(ศุข) มาที่วัดพลับ จ.ธนบุรี
เพื่อสถาปนาเป็นวัดหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระ(วัดป่าอรัญวาสี)ชื่อว่า วัดราชสิทธาราม
พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากตราบจนปัจจุบันคือพระมหาโต
ต่อมาได้รับเลื่อนเป็นสมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหฺมรํสี) ท่านเป็นสามเณรนาคหลวงและได้ฝึกวิปัสสนาธุระในสำนักเจ้าคุณบวรวิริยเถร
วัดสังเวชฯ บางลำภู กรุงเทพฯ ซึ่งมีความรู้สอนศิษย์ให้สอบบาลีเปรียญ ๙ ประโยคได้
แต่ท่านกลับไม่ยอมสอบไล่ ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ ๒ ที่เป็นโยมอุปัฏฐากจึงโปรดมอบเปรียญแก่ท่านทั้งที่ไม่ได้สอบ
ในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงจัดพระราชทานสมณศักดิ์หลายครั้งแก่ท่าน
แต่ทุกครั้งที่จะมอบตำแหน่งให้สมเด็จโต ก็หลบหนีด้วยการไปธุดงค์ ท่านจะมีปฏิปทาและนิสัยแปลกในการสอนธรรมะ จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่
๔ สมเด็จโตที่เรารู้จักกัน ท่านได้ถูกยกย่องเป็นพิเศษว่าได้วิมุติหลุดพ้นแล้ว
ในสมัยนี้เกิดนิกายธรรมยุติขึ้นโดยพระวชิรญาณเถระ(เจ้าฟ้ามงกุฏ) ในสมัยที่ท่านทรงผนวชอยู่และศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญชื่อ
ซาย ฉายา พุทฺธวํโส ท่านได้ทรงเสด็จอุปสมบทใหม่ในปีพ.ศ.
๒๓๗๒ ต่อมาได้ตั้งคณะธรรมยุติขึ้นในปีพ.ศ. ๒๓๗๖ แล้วเสด็จกลับมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
โดยใช้เป็นที่ตั้งและศูนย์กลางของคณะธรรมยุติ
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕
พระภิกษุฝ่ายกัมมัฏฐานที่มีชื่อมากที่สุดคือพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้ฝึกกัมมัฏฐานกับพระอาจารย์เสาร์ กนฺสีโล
วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งต่อมาท่านได้เป็นพระอาจารย์ใหญ่แนวบริกรรมพุทโธ
สายธรรมยุติ ที่มีลูกศิษย์ทั่วประเทศและแพร่หลายตราบจนปัจจุบัน
ต่อมาในรัชกาลที่ ๙
พระภิกษุที่ได้ทำประโยชน์อย่างสูงสุดอีกท่านหนึ่ง ในการเผยแผ่ทั้งปริยัติ(การศึกษาพระอภิธรรม)
และปฏิบัติ(วิปัสสนากัมมัฏฐาน-แนวบริกรรมพองยุบ สายมหานิกาย) คือพระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) ซึ่งท่านเป็นผู้ริเริ่ม สนับสนุน
พัฒนา และทำให้วิปัสสนากัมมัฏฐานเผยแผ่สำนักไปกว่า ๔๐๐ แห่งทั่วประเทศ
พระอาจารย์มั่น
ภูริทตฺโตและพระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) เป็นพระภิกษุ ๒ รูปที่มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อวงการวิปัสสนา
ซึ่งทำให้ก่อเกิดสำนักปฏิบัติทั้งในและต่างประเทศ
แม้ว่าการปฏิบัติเบื้องต้นของทั้ง ๒ สายจะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็มีจุดหมายและได้ผลเช่นกัน
ซึ่งทั้ง ๒ สายมีประวัติกัมมัฏฐานดังนี้
ประวัติกัมมัฏฐาน สายธรรมยุติ - พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต – พระอาจารย์กัมมัฏฐานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และมีคุณูปการอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย
ตามแนวการปฏิบัติกัมมัฏฐาน (สมถยานิกะ) ด้วยองค์บริกรรม พุทโธ
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์สายธรรมยุติ
มีดังต่อไปนี้
สมัยสุโขทัย -ตามหลักภาวนานัยแห่งปปัญจสูทนี ในอรรถกถา มัชฌิมนิกาย
เริ่มมีการปฏิบัติสมถยานิกะ(เจริญสมถ ก่อนจึงเจริญวิปัสสนา)
โดยพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ที่มุ่งเน้นวิปัสสนาธุระ ตามสำนักกัมมัฏฐานสาขาต่างๆ ใน จ.สุโขทัย
เชียงใหม่ และลำพูน
สมัยกรุงศรีอยุธยา -สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(ศุข) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ จ.อยุธยา ทรงสอนวิปัสสนาธุระจนกระทั่งถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ -สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร(ศุข) ย้ายมาที่วัดพลับ
จ.ธนบุรี และได้รับการสถาปนาเป็นวัดหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระ(วัดป่าอรัญวาสี) โดยต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดราชสิทธาราม
สมัยรัชกาลที่ ๒ -พระมหาโต ต่อมาได้เลื่อนเป็น
สมเด็จพุฒาจารย์(โต พรหฺมรํสี) ได้ฝึก
วิปัสสนาธุระที่วัดสังเวชฯ บางลำภู กรุงเทพฯ และเผยแผ่จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔
โดยที่ท่านถูกยกย่องว่าได้วิมุติหลุดพ้นแล้ว
สมัยรัชกาลที่ ๔ -เพิ่มนิกายพระสงฆ์ใหม่ชื่อ ธรรมยุติ จากเดิมที่มีแต่ มหานิกาย
-สนับสนุนให้เรียนบาลีศึกษา
หลักสูตรเปรียญธรรม และนักธรรม (คันถธุระ)
สำหรับพระภิกษุ เพราะตรวจสอบได้เป็นรูปธรรม
-มอบหมายให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย สอนวิปัสสนาธุระเอง เพราะไม่มีพระอาจารย์ที่สอนวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ตรงตามพระไตรปิฎก
สมัยรัชกาลที่ ๕ -เจ้าพระยาภาสกรวงศ์
เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เสนอว่าการปฏิบัติ
(๑๓ กันยายน พ.ศ.
๒๔๓๙) วิปัสสนาธุระนั้นไม่ได้เป็นไปตามคำสอนในคัมภีร์วิสุทธิมรรค จึงเสนอให้ยกเลิก
การสอนวิปัสสนาธุระของสายมหานิกาย
การสอนวิปัสสนาธุระของสายมหานิกาย
(๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๙) -การปฏิบัติด้านวิปัสสนาธุระได้ขาดหายไปจากหลักสูตรการศึกษา
ของคณะสงฆ์ไทย
-พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ฝึกกัมมัฏฐานกับ พระอาจารย์เสาร์ กฺนตสีโล จากนั้นได้ธุดงค์ไปภาคอีสาน ปฏิบัติต่อจนได้บรรลุคุณวิเศษ และเผยแผ่กัมมัฏฐานแบบบริกรรม พุทโธ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสจนถึงปัจจุบัน โดยมีสำนักกัมมัฏฐานทั่วประเทศและทั่วโลก
-พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ฝึกกัมมัฏฐานกับ พระอาจารย์เสาร์ กฺนตสีโล จากนั้นได้ธุดงค์ไปภาคอีสาน ปฏิบัติต่อจนได้บรรลุคุณวิเศษ และเผยแผ่กัมมัฏฐานแบบบริกรรม พุทโธ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสจนถึงปัจจุบัน โดยมีสำนักกัมมัฏฐานทั่วประเทศและทั่วโลก
สมัยรัชกาลที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๓๘) -มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ได้บรรจุวิปัสสนากัมมัฏฐานรูปแบบบริกรรม พุทโธ เป็นหลักสูตรปฏิบัติภาคบังคับ ๑๕
วันที่สอนโดยพระธรรมวิสุทธิกวี(พิจิตร ฐิตวณฺโณ)
ยุคร่วมสมัย -พระเกจิอาจารย์กัมมัฏฐาน สายธรรมยุติ (บริกรรมพุทโธ) จากอดีตถึงปัจจุบันมีดังนี้
-พระอริยกวี(อ่อน) -พระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์
สิริจันโท)
-สมเด็จพระมหาวีรวงค์(ติสฺโส
อ้วน) -พระปัญญาพิศาลเถร(หนู
จิตปญฺโญ)
-หลวงปู่เสาร์
กนฺตสีโล -หลวงปู่มั่น
ภูริทตฺโต
-พระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตฺโล) -พระโพธิญาณเถร(หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
-พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) -พระธรรมโกศาจารย์(พุทธทาสภิกขุ)
-พระราชสังวรญาณ(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) -พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตาบัว
สิริสัมปันโน)
-พระราชธรรมเจติยาจารย์(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) -พระราชพิพัฒนาทร(ถาวร
จิตฺตถาวโร)
-พระวิสุทธิญาณเถระ(หลวงพ่อสมชาย จิตวิริโย) -หลวงพ่อสนอง
กตปุญฺโญ เป็นต้น
ประวัติกัมมัฏฐาน สายมหานิกาย - สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ
อาสภมหาเถร)
พระพิมลธรรม(อาจ
อาสโภ) ภายหลังได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ
กรุงเทพฯ ท่านมีวิสัยทัศน์และคุณูปการอย่างยิ่งสำหรับ
วงการวิปัสสนากัมมัฏฐาน(วิปัสสนายานิกะ) ตามรูปแบบบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ
โดยได้ริเริ่มนำการสอนปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค และการเรียนพระอภิธรรมปิฎก (อภิธัมมัตถสังคหะ
๙ ปริจเฉท) มาร่วมเผยแผ่แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์สายมหานิกายมีดังนี้
รัชกาลที่ ๕ -การปฏิบัติด้านวิปัสสนาธุระได้ขาดหายไปจากหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย
ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๙
พ.ศ. ๒๔๙๑ -พระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ)
ได้ไปร่วมงานที่ท้องสนามหลวงและได้สนทนากับท่านอูละหม่อง เอกอัครราชทูต แห่งสหภาพพม่า จึงทำให้ท่านสนใจในพระไตรปิฎก
อรรถกถาและฎีกา ภาษาบาลีฉบับอักษรพม่า เพราะมีความสมบูรณ์ทางด้านคัมภีร์
พ.ศ. ๒๔๙๒ -สภาการพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่าได้ส่งผู้ชำนาญการสอน
พระอภิธรรมปิฎก ๒ ท่านมาประเทศไทยคือ ท่านสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ สอนอยู่ที่วัดระฆังฯ(มรณภาพ
ปีพ.ศ. ๒๕๐๙) และท่านเตชินทะ ธัมมาจริยะสอนอยู่ที่วัดปรกพม่า(ได้กลับพม่าใน
ปีพ.ศ. ๒๕๐๔)
พ.ศ. ๒๔๙๓ -ประเทศไทยได้รับพระไตรปิฎก
อรรถกถาและฎีกา จากประเทศพม่าจำนวน ๓ ชุด โดยมอบให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วัดมหาธาตุฯ ๑ ชุด, มหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ ชุด และแก่สำนักสอนพระอภิธรรม
วัดระฆังโฆสิตาราม ๑ ชุด
พ.ศ. ๒๔๙๕ -พระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ)ได้อ่านหนังสือ พระวิสุทธิมัคคเผด็จ และเห็นว่าเมืองไทยยังไม่มี รูปแบบวิปัสสนาที่สอนตรงตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ซึ่งเรียบเรียงมาจากพระไตรปิฎก
ท่านจึงมีดำริให้ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ไปฝึกวิปัสสนาตามสำนักต่างๆ ในประเทศไทยและส่งไปที่พม่าเพื่อประโยชน์ด้านวิปัสสนาธุระ
ท่านจึงเป็นผู้ริเริ่ม บุกเบิก สนับสนุน และเผยแผ่วิปัสสนาธุระที่สำคัญที่สุดของฝ่ายมหานิกาย
พ.ศ. ๒๔๙๖ -พระพิมลธรรม(อาจ
อาสโภ)ได้ส่ง พระมหาบำเพ็ญ กับสามเณรไสว ไปศึกษาคันถะธุระ และยังได้ส่ง พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ไปฝึกวิปัสสนาธุระ ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระโสภณมหาเถระ(พระมหาสีสยาดอ)
ที่สำนักปฏิบัติวิปัสสนาสาสนยิสสา จ.ย่างกุ้ง ประเทศพม่า จนได้สำเร็จเป็นพระวิปัสสนาจารย์
ต่อมาได้กลับมาสอนที่วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕
กรุงเทพฯ พร้อมกับพระธรรมทูตชาวพม่า(วิปัสสนาจารย์) ที่ร่วมเดินทางมาเผยแผ่วิปัสสนาธุระ
ตามคำเชิญของพระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) อีก ๒ ท่านคือ พระอินทวังสะ (ไม่นานก็เดินทางกลับพม่า) ส่วนพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ สอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ที่โบสถ์และในคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ
พ.ศ. ๒๔๙๘ -ท่านได้นำวิปัสสนาธุระเสนอต่อคณะสังฆมนตรีและได้มีมติรับหลักการพร้อมกับยกวิปัสสนาธุระ
เป็นกองการวิปัสสนาธุระของมหาเถรสมาคมในยุคนั้น
พ.ศ. ๒๕๐๕ -พระอาจารย์ภัททันตะ
อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ได้ย้ายจากวัดมหาธาตุฯ กรุงเทพ ไปสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม
จังหวัดชลบุรี
พ.ศ. ๒๕๐๗ -พระพิมลธรรมถูกกลั่นแกล้งด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกบังคับให้สละผ้าเหลืองและถูกจำคุกที่สันติบาลด้วยเหตุผลทางการเมืองในขณะนั้น
ต่อมาท่านได้หลุดพ้นจากทุกข้อกล่าวหาและได้รับคืนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์
แต่เป็นที่น่าเสียดายของประเทศไทยที่ท่านไม่ได้กลับเข้าทำงานสู่ฝ่ายบริหารและพัฒนางานธุระสำคัญที่สุด
๒ ประการของคณะสงฆ์ไทยคือ
๑. คันถะธุระ(การศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ)
๒. วิปัสสนาธุระ(การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐาน
๔)
พ.ศ. ๒๕๒๔ -มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้แต่งตั้งกองวิปัสสนาธุระและได้เล็งเห็นความสำคัญ
โดยบรรจุการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นหลักสูตรภาคบังคับแก่พระนิสิตและนิสิตทุกรูปคนในระดับปริญญาตรี
โท และเอก
พ.ศ. ๒๕๔๑ -พระอาจารย์ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะรับนิมนต์ไปจำพรรษาที่ วัดภัททันตะอาสภาราม ต.หนองปรือ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
ยุคร่วมสมัย -วิปัสสนาจารย์และอาจารย์สายมหานิกาย(บางส่วน)ของสายบริกรรมพองยุบ มีดังนี้
-พระอาจารย์ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ -พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก
าณสิทฺธิ)
-พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม) -พระเทพสิทธาจารย์(ทอง
สิริมงฺคโล)
-พระครูประจาก สิริวณฺโณ -พระอาจารย์สมภาร
สมภาโร
-พระอาจารย์มหาเหล็ก จนฺทสีโล -พระอาจารย์สว่าง ติกฺขวีโร
-พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตฺโต -พระอาจารย์ไสว
าณวีโร
-แม่ชีบุญมี เวชสาร -คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย เป็นต้น
สายวิปัสสนาวงศ์ของวิปัสสนาจารย์รูปแบบบริกรรม
พองหนอ ยุบหนอ
ตามสายวิปัสสนาวงศ์ที่ปรากฎนามของลำดับพระวิปัสสนาจารย์ที่ได้ร่วมเผยแผ่วิปัสสนากัมมัฏฐานมีดังนี้
ช่วงเวลา ชื่อของพระวิปัสสนาจารย์ สถานที่เผยแผ่
-สมัยพุทธกาล -พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเทศอินเดีย
-พ.ศ. ๒๓๕ -พระโมคคัลลีบุตร
ติสสเถระ(ประธานสังคายนา) กรุงปาฏลีบุตร
ประเทศอินเดีย
-พระโสณะอรหันต์ และพระอุตตระอรหันต์ สุธรรมบุรี รัฐสุวรรณภูมิ
-ก่อน -พระพุทธโฆสะ ประเทศศรีลังกา
พ.ศ. ๑๐๐๐ ผู้แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ภาษามคธ(บาลี)
และ
พระอนุรุทธาจารย์ ประเทศศรีลังกา
ผู้แต่งคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ
ภาษาสิงหล
-พ.ศ. ๑๐๐๐ -พระอโนมทัสสีอรหันต์
พระอธิสีลอรหันต์
มหาเถระ
พระปุราณทัสสีอรหันต์ มหาเถระ
พระมหากาฬอรหันต์ และ พระสีลพุทธิอรหันต์
-พ.ศ. ๑๕๔๑ -พระธรรมทัสสีอรหันต์ อริมัททนบุรี รัฐสุวรรณภูมิ
พระอริยวังส
มหาเถระ
-พ.ศ. ๑๘๕๕ -พระจุลอรหันต์เถระ
และ พระทิพพจักษุเถระ วิชัยปุระบุรี รัฐสุวรรณภูมิ
-พ.ศ. ๑๘๘๓ -พระสุธรรมมหาสามีเถระ
-พ.ศ. ๑๙๔๗ -พระจาคม
มหาเถระ รัตนปุระธานี ประเทศพม่า
-พ.ศ. ๒๐๙๗ -พระสัทธรรมกิตติ
มหาเถระ ไชยปุระธานี
พระติสาสนธช
มหาเถระ
พระโชติปุญญ
มหาเถระ รัตนปุระธานี
-พ.ศ. ๒๑๘๓ -พระชมพูทีปธช
มหาเถระ ถ้ำสุวรรณคูหา กุขนะธานี
-พ.ศ. ๒๑๙๐ -พระเขม
มหาเถระ
พระติรงคภิกขุ
(พระติรงคะ สยาดอ)
พระอาจารย์
นโมอรหันต์
พระนารทภิกขุ หรือ พระมิงกุลโตญภิกขุ (พระมิงกุลเชตวันสะยาด่อร์)
สุธรรมบุรี
(เมืองสะเทิม)
-พ.ศ. ๒๔๙๒ -พระอาจารย์ภัททันตะ
โสภณมหาเถระ ธัมมาจริยะ(พระอาจารย์มหาสีสยาดอ)(วิปัสสนาจารย์ใหญ่ -
สำนักวิปัสสนาสาสนยิตสา)
เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
-พ.ศ. ๒๔๙๕ -พระพิมลธรรม(อาจ
อาสโภ) กรุงเทพฯ ประเทศไทย
(ผู้ริเริ่มและสนับสนุน
วิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวคัมภีร์วิสุทธิมรรค)
-พ.ศ. ๒๔๙๖ -พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ
(วิปัสสนาจารย์ใหญ่รุ่นแรกในประเทศไทย) คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ
กรุงเทพฯ
-พ.ศ. ๒๕๐๕ -พระอาจารย์ ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็น พระอาจารย์
ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ
(วิปัสสนาจารย์ใหญ่
- สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม) จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย
รูปแบบของสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานทั่วโลก
ปัจจุบันสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานในระดับสากลทั่วโลกมีประมาณ ๘ สาย (ช่วงปี 2561) ดังนี้
สายที่
๑ สำนักตามแนวของพระโสภณมหาเถระหรือพระอาจารย์มหาสีสยาดอ(Venerable
Mahasi Sayadaw) พระภิกษุชาวพม่าที่ใช้รูปแบบกำหนดเดินจงกรม ๖ ระยะ,
นั่งสมาธิบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ และให้กำหนดอิริยาบถต่างๆ ต่อเนื่องทั้งวัน โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากประเทศอินเดีย เผยแผ่มาจนถึงประเทศพม่า
ซึ่งมีสำนักวิปัสสนาอยู่ในทวีปเอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป ประมาณ ๒๐ แห่ง ทั่วโลก
สายที่
๒ สำนักของท่านสัตยา นารายัน โกเอ็นก้า (S.N. Goenka) ฆราวาสชาวอินเดียที่เดินทางมาค้าขายในพม่าและได้ไปฝึกวิปัสสนากับพระอาจารย์อูบาขิ่น(Venerable
U Ba Khin) ภิกษุชาวพม่า ด้วยรูปแบบสติปัฏฐานแบบไม่มีองค์บริกรรม ในท่านั่งสมาธิอย่างเดียวประมาณวันละ
๑๐ ชั่วโมง ปัจจุบันสำนักสายท่านโกเอ็นก้ามี สาขาทั่วโลกที่เป็นศูนย์ (Center) ๑๘๕ แห่ง และ
สถานฝึก (Non-Center) ๑๓๘ แห่ง รวมถึงประเทศไทยด้วย
สถานฝึก (Non-Center) ๑๓๘ แห่ง รวมถึงประเทศไทยด้วย
สายที่
๓ สายท่านดาไล ลามะ พระธิเบตในประเทศอินเดีย สายวัชรยาน ด้วยการสอนที่เน้นบรรยาย ความรักและเมตตา(Loving Kindness and Compassion) แก่ทุกศาสนา ไปทั่วโลก ซึ่งเป็นที่นิยมของนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และทุกสาขาอาชีพ ปัจจุบันมีการสอนทำสมาธิ และฟังบรรยายธรรมะ ในอเมริกาประมาณ ๒๐ แห่ง, ในยุโรป ๒๐ แห่ง ในรัสเซีย ออสเตรเลีย บราซิล เมกซิโก และในเอเชียมีประมาณ ๗ แห่ง
สายที่
๔ สำนักของพระธรรมทูตไทยสายธรรมยุติ แบบอานาปานสติภาวนาบริกรรมพุทโธที่เริ่มด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม และอิริยาบถย่อย โดยปฏิบัติตามสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ในวัดไทยทั่วโลกซึ่งเผยแผ่โดยพระสงฆ์สายธรรมยุติและพระธรรมทูติของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
สายที่ ๕ สำนักของพระธรรมทูตไทยสายมหานิกาย แบบวิปัสสนาภาวนาบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ ตามรูปแบบเดียวกับของพระอาจารย์มหาสีสยาดอ ซึ่งได้ถ่ายทอดแก่พระอาจารย์ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ-วิปัสสนาจารย์ของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) และเป็นต้นแบบของวิปัสสนากัมมัฏฐานในการปฏิบัติของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบัน ที่สนับสนุนวัดไทยในต่างแดนด้วยการส่งพระธรรมทูตเผยแผ่ไปทั่วโลก
สายที่ ๖ สาย มหานิกาย ตามแนวการสอนของ พระอาจารย์ชา สุภัทโท (Ajahn Chah) ในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่นิยม ของชาวต่างชาติ และมหาเศรษฐี ได้เข้ามาบวชกันมาก ตามรูปแบบสายวัดป่า (อรัญวาสี)
สายที่ ๗ สายท่านติช นัท ฮัน พระชาวเวียตนามที่สอนอยู่ในฝรั่งเศส สอนการเจริญสติรู้ในปัจจุบัน (Now and Present Moment)
สายที่ ๘ สายการเจริญสติ ตามแนวจิตวิทยาทางการแพทย์ (Mindfulness Meditation) ที่สอนโดยชาวตะวันตก ในมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ และศูนย์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งไม่เน้นว่าการเจริญสติเป็นเรื่องศาสนา แต่เป็นของสากล สำหรับทุกชาติ/ศาสนา (Non-Secular / Non-Religion) ด้วยหลักสูตรดังนี้
๑. สติคลายเครียด ในหลักสูตร ๘ สัปดาห์
(MBSR - Mindfulness Based Stress Reduction 1979)
๒. สติบำบัดโรคทางใจ เช่น โรควิตกกังวล แพนิค ซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ ฯลฯ
(MBCT - Mindfulness Based Cognitive Therapy 1991)
๓. สติป้องกัน การกลับมาเสพ (ยาเสพติด) หรือเป็นโรคทางใจซ้ำอีก
(MBRP - Mindfulness Based Relapse Prevention 2010)
๔. หลักสูตร เจริญสติ (Mindfulness-Based) อื่นๆ เช่น
MBCP : Mindfulness-Based Childbirth and Parenting
MBTA : Mindfulness-Based Treatment Approaches
MBEAT : Mindfulness-Based Eating Awareness Training
MBEC : Mindfulness-Based Elder Care
MBCR : Mindfulness-Based Cancer Recovery
สายที่ ๕ สำนักของพระธรรมทูตไทยสายมหานิกาย แบบวิปัสสนาภาวนาบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ ตามรูปแบบเดียวกับของพระอาจารย์มหาสีสยาดอ ซึ่งได้ถ่ายทอดแก่พระอาจารย์ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ-วิปัสสนาจารย์ของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) และเป็นต้นแบบของวิปัสสนากัมมัฏฐานในการปฏิบัติของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบัน ที่สนับสนุนวัดไทยในต่างแดนด้วยการส่งพระธรรมทูตเผยแผ่ไปทั่วโลก
สายที่ ๖ สาย มหานิกาย ตามแนวการสอนของ พระอาจารย์ชา สุภัทโท (Ajahn Chah) ในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่นิยม ของชาวต่างชาติ และมหาเศรษฐี ได้เข้ามาบวชกันมาก ตามรูปแบบสายวัดป่า (อรัญวาสี)
สายที่ ๗ สายท่านติช นัท ฮัน พระชาวเวียตนามที่สอนอยู่ในฝรั่งเศส สอนการเจริญสติรู้ในปัจจุบัน (Now and Present Moment)
สายที่ ๘ สายการเจริญสติ ตามแนวจิตวิทยาทางการแพทย์ (Mindfulness Meditation) ที่สอนโดยชาวตะวันตก ในมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ และศูนย์ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งไม่เน้นว่าการเจริญสติเป็นเรื่องศาสนา แต่เป็นของสากล สำหรับทุกชาติ/ศาสนา (Non-Secular / Non-Religion) ด้วยหลักสูตรดังนี้
๑. สติคลายเครียด ในหลักสูตร ๘ สัปดาห์
(MBSR - Mindfulness Based Stress Reduction 1979)
๒. สติบำบัดโรคทางใจ เช่น โรควิตกกังวล แพนิค ซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ ฯลฯ
(MBCT - Mindfulness Based Cognitive Therapy 1991)
๓. สติป้องกัน การกลับมาเสพ (ยาเสพติด) หรือเป็นโรคทางใจซ้ำอีก
(MBRP - Mindfulness Based Relapse Prevention 2010)
๔. หลักสูตร เจริญสติ (Mindfulness-Based) อื่นๆ เช่น
MBCP : Mindfulness-Based Childbirth and Parenting
MBTA : Mindfulness-Based Treatment Approaches
MBEAT : Mindfulness-Based Eating Awareness Training
MBEC : Mindfulness-Based Elder Care
MBCR : Mindfulness-Based Cancer Recovery