เนื้อหาบรรยายและภาคปฏิบัติใน การเจริญสติพัฒนาปัญญา สำหรับ พระภิกษุบวชใหม่:
๑. ปัญหาที่เกิดขึ้น
๑.๑ การอบรมสั่งสอนของวัด
-เป้าหมาย ของการบวช
-บวชเพื่ออะไร
-บวชแล้วต้องศึกษาปฏิบัติอะไร
-สึกออกไปแล้วจะได้อะไรจากวัดแล้วจะประยุกต์ใช้ธรรมะกับชีวิตได้อย่างไร
-การศึกษาอบรมปฏิบัติ -ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ภาวนา (สมถ / วิปัสสนาภาวนา)
-ชื่อเสียงของวัดและพระพุทธศาสนา
-ความศรัทธาและเคารพ
ต่อ พระพุทธศาสนา
-กิจกรรมของพระภิกษุในวัด
-การพัฒนาจิตของพระภิกษุในวัด
-การควบคุมนิสัยอารมณ์ ระหว่างที่บวช และนำออกไปใช้หลังจากสึก
-งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และทำประโยชน์ต่อชุมชน
-พฤติกรรมของพระภิกษุในวัด
-ความสัมพันธ์กับพระภิกษุในวัด (SOCIAL RELATIONSHIP)
-การใช้อารมณ์เป็นหลัก ความมีเหตุผลลดลง
-ทุกขทัศนนิยม หรือ ความคิดเชิงลบ
-การฝึกฝน
สาวหาเหตุในอดีต และเล็งผลไปถึงอนาคต
-อารมณ์ซึมเศร้า
ไม่พอใจ โกรธ เสียใจ ภายในใจ โดยไม่รู้ตัว
-เอาแต่ใจ และ ตามใจ ตัวเอง
-มีอคติและความคิดลบ
ต่อการสวดมนต์ เพราะ เกิดความเบื่อหน่าย เจ็บปวด และเวทนาทั้งทางกายใจ ขณะสวดมนต์ ในที่สุดเกิดความไม่เข้าใจ เบื่อ
กลัว เข็ด และไม่อยากสวดมนต์
-มีอคติต่อการนั่งสมาธิ
และเดินจงกรม
-กลัวต่อการนั่งสมาธิ และเดินจงกรม
-เข็ดขยาดและหนี การปฏิบัติธรรม
-ประโยชน์ที่ได้จากวัด
หลังจากสึกออกไป ด้าน จิตใจอารมณ์, การพัฒนาตนเอง ครอบครัว และสังคม
-บวชออกไปแล้วไม่ได้พัฒนาจิตใจตนเองเท่าที่ควร
และนิสัยอารมณ์ไม่ได้รับการพัฒนา
-ไม่สามารถประยุกต์หลักธรรม
ในการครองตน กับครอบครัว และในที่ทำงาน
-เกิดกิเลส ๓ (โมหะ โลภะ โทสะ) มากกว่า การลดละ ในระหว่างบวช
-ความรู้ในด้านปฏิบัติ
หรือ กัมมัฏฐาน
-ความรู้ด้านปริยัติ
หรือ ทฤษฎี ของ พระพุทธศาสนา
-การเรียนรู้ในกระบวนการพัฒนาปัญญา (สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา)
-การอบรมให้เกิด การใฝ่รู้ในความรู้ การพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง และการเสาะหาแหล่งเรียนรู้
-กระบวนและวิธีการฝึกฝน ในการแก้ปัญหา และ หาหนทางแก้ไข
-การใช้ชีวิตในสังคมวัด (การบิณฑบาตร ฉันท์เพลกลางวัน สวดงานศพ รับสังฆทาน เรียนปริยัติ
และการอยู่ร่วมกัน กับสังคมพระสงฆ์ในวัด)
-การพัฒนา ด้าน สุขภาพกาย และ สุขภาพใจ
-กิจกรรมที่สนับสนุน
พระภิกษุ ในงานเผยแผ่แก่ชุมชน
-การรู้จักใช้ และบริหารจัดการ ปัจจัย/เงิน ที่ได้มาในขณะบวช
๑.๒ งานเผยแผ่แก่ชุมชน
-ความเป็นศูนย์กลาง และที่พึ่งทางจิตวิญญาณของชุมชน
-กิจกรรมของวัดแก่ชุมชน
-ปัญหาสังคม ครอบครัว ของชุมชน
-กิจกรรมอีกมากมายที่ชุมชนต้องการ
-ความร่วมมือจากชุมชน
-ความร่วมมือจากผู้เกษียณ
และผู้มีความรู้ ที่พร้อมจะร่วมกิจกรรมกับวัด
๒.
สาเหตุของปัญหา
-การศึกษาและปฏิบัติ ในหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔
-ระบบการบริหาร
-การจัดสรรบุคลากร เพื่อปฏิบัติหน้าที่
-การบริหารของวัด ในกระบวนการรับพระบวชใหม่
-ระบบการบริหาร
-การจัดสรรบุคลากร เพื่อปฏิบัติหน้าที่
-การบริหารของวัด ในกระบวนการรับพระบวชใหม่
-เงื่อนไขและกระบวนการรับพระบวชใหม่
-บุคลากรที่มีความรู้ในการอบรมพระบวชใหม่
-แผนกปริยัติของวัด
-บุคลากรแผนกปริยัติของวัด
-แผนกปฏิบัติของวัด
-บุคลากรแผนกปฏิบัติของวัด
-พื้นฐานความรู้
-การศึกษา (ไตรสิกขา)
-การอบรมสั่งสอนจากครอบครัว
-สภาพแวดล้อม
จากเพื่อน / ที่ทำงาน / อาชีพ
-การเผยแผ่หลักปริยัติ และ ปฏิบัติ แก่ชุมชน
-การเรียนรู้สังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
-วิสัยทัศน์ และ ทัศนคติเชิงบวก
-กิจกรรมในวัดที่ก่อเกิด
กิเลส ๓ (โมหะ โลภะ โทสะ)
-ความสามารถในการควบคุมกิเลส
๓ ในระหว่างวัน
-สติปัญญาในระหว่างวัน
ขณะบิณฑบาตร, ฉันท์เพล ในหรือนอกวัด และสวดงานศพ (ถ้ามี)
-ความรู้ในการพัฒนาจิตให้กิเลส
๓ ลดน้อยลง
-ความรู้ทางปัญญาทางพุทธศาสนา
-ความรู้ด้านอื่นๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ให้ชุมชน
-การสนับสนุนของวัด
-การประเมินผล
และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
๓.
สร้างเป้าหมาย ถึงผลที่ต้องการ
-มีเป้าหมายของการบวชที่ถูกต้อง
-มีความรู้ด้านพระพุทธศาสนาให้ถึงแก่นกลาง
-เข้าถึง
ไตรสิกขา ทั้ง ภาคปริยัติและปฏิบัติได้จริง
-เข้าถึง
ความสุข ๓ ของพระพุทธศาสนา(กามสุข สมาธิสุข นิพพานสุข) โดยมีความสุข ทั้งด้านจิตใจ และร่างกาย
-ลดความทุกข์ให้น้อยลง
-สร้างศรัทธาในเรื่องวัฏฏสงสาร
ชาติต่อไป และ ตายแล้วต้องไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
-เตรียมสะสม
อริยทรัพย์ภายใน และบุญกุศล เพื่ออนาคตในชาติต่อไป โดยลดละกิเลส ๓
เพื่อปิดอบายภูมิ ๔
-มีความอดทนต่อความยากลำบาก
-ฝึกฝนปฏิบัติจิตใจให้เป็นพระที่แท้จริง
-ทำประโยชน์ต่อ
ตนเอง ครอบครัว และสังคม
-พัฒนาการเผยแผ่ ด้านธรรมนิเทศ
-พัฒนาสติ และปัญญา ลดละกิเลส ๓ (โมหะ โลภะ โทสะ)
-พัฒนาความสัมพันธ์กับสังคมในวัด
-ฝึกฝนจิตให้เกิดความพอเพียง
อยู่ได้ และปล่อยวางได้ กับทุกเหตุการณ์
-พัฒนา สุขทัศนนิยม หรือ ความคิดเชิงบวก (POSITIVE THINKING)
-จิตสร้างสรรค์
และจิตวิทยาเชิงบวก
-พัฒนา หลัก
เหตุ(อดีต) และ ผล(อนาคต) (CAUSE
AND EFFECT)
-พัฒนา
คุณค่าของชีวิต
-พัฒนา
การเป็นผู้ให้ (GIVER,
NOT TAKER)
-เพื่อเป้าหมายสูงสุด
คือ การตัดวัฏฏสงสาร และเข้าถึงพระนิพพาน
๔. วิธีการปฏิบัติเพื่อนำสู่เป้าหมาย
๔.๑ ศึกษาประวัติและความรู้ทั่วไป
-เรียนรู้ข้อดี
ข้อด้อย ของตัวเอง
-ศึกษาย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์สำคัญในอดีต
-เรียนรู้เหตุการณ์ในอดีต
-คิดวิเคราะห์เหตุการณ์ได้
-นำอดีตมาใช้ในปัจจุบันเพื่ออนาคตที่ดี
-ความชำนาญในอดีต
และความสนใจในกิจกรรมต่างๆ
๔.๒ ฝึกฝนด้านทฤษฎี
-หลักพุทธธรรม
-หลักไตรสิกขา
-หลักสติปัฎฐาน
เพื่อนำสู่ภาคปฏิบัติจริง (VIPASSANA or MINDFULNESS MEDITATION)
-ความหมาย
ประโยชน์ และวิธีฝึก การเจริญสติ (MINDFULNESS
MEDITATION)
-การสอน
และการเผยแผ่ เรื่องสติ (MINDFULNESS) ในโลกตะวันตก
-การพัฒนาปัญญาเพื่อพัฒนาจิตตนเอง
(WISDOM & ENLIGHTMENT DEVELOPMENT)
-ความสุข 3 ประเภทของ
พุทธศาสนา
-การทำงานของจิต, เรียนรู้อารมณ์ต่างๆ
และวิธีบริหารจัดการจิต/อารมณ์
-เรื่องวัฏฏสงสาร
การเวียนว่ายตายเกิด และชาติหน้า
-การสร้างอริยทรัพย์ภายใน
-ความคิดเชิงบวก (POSITIVE THINKING)
-หลักเหตุและผล
-การโปรแกรมสมองเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ
ตามแนว NLP
-กระบวนการในการแก้ปัญหา
ตามหลักอริยสัจ 4
(BUDDHIST PROBLEM SOLVING)
๔.๓ ฝึกฝนด้านภาคปฏิบัติ
-ฝึกเจริญสติ
ด้วยการเดินจงกรม และนั่งสมาธิ
-ฝึกเจริญสติ
ในชีวิตประจำวัน
-รายงานผล
และส่งอารมณ์
-ฝึกสติรู้ทันความคิดลบ
-ฝึกกระตุ้นสมอง
ด้านความคิดเชิงบวก ในปัญหา
-กระทำให้ได้จริงตามที่คิด
-ฝึกกระตุ้นสมอง
ด้านการหาเหตุ(อดีต) และผล(อนาคต)
-พัฒนาการใช้ภาษาและสื่อสาร ด้วยการฝึกดังนี้:
๑. ด้านการฟัง - ฝึกจินตนาภาพ และการจับประเด็นสำคัญ
๒. ด้านการพูด - ฝึกการเล่าเรื่องด้วยจินตนาภาพ การพูด ระดับเสียง ความเร็ว การใช้ภาษาที่ถูกต้อง ใน ลำดับ และ รายละเอียด ด้วยประโยคสมบูรณ์
๓. ด้านการถาม - ฝึกการถามให้ครบประโยค และสื่อถึงประเด็นสำคัญ เพื่อข้อมูลที่มีประโยชน์
๔. ด้านการสื่อสาร - ฝึกจับรายละเอียดและประเด็นสำคัญ การจดในสมุด ไม่ทำตามที่ตนคิดไปเอง ถ้าไม่แน่ใจ ให้สื่อสารเพื่อถามอีกครั้งให้สมบูรณ์
๕. ด้านความกล้าและความมั่นใจในการพูดคุยสนทนา
๖. ด้านการออกความคิดเห็น ในเวลาที่เหมาะสม เชิงบวกและสร้างสรรค์ เนื่องจากการศึกษาส่วนใหญ่ จะสอนให้ฟังครู และทำการบ้าน
-ฝึกสร้างกิจกรรมที่มีประโยชน์
-ฝึกเป็นคนใฝ่รู้ตลอดเวลา
และรู้จักออกไปหาความรู้จากแหล่งต่างๆ
-ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
แก่ ตนเอง ครอบครัว และช่วยเหลือสังคม
-นำประสบการณ์ความรู้ความชำนาญที่ได้
ไปเผยแผ่แก่สังคม
-ฝึกการเป็นผู้ให้ (GIVER, NOT TAKER)
-สร้างคุณค่าของชีวิต, แก่ครอบครัว และสังคม
-รู้จักคบบัณฑิต
ห่างไกลคนพาล
-รู้จักคบเพื่อนที่ดี
และทำงานด้วยหลักพุทธธรรม
-รู้จักช่วยเหลือครอบครัว
โดยไม่ทำตัวเป็นภาระ
ระยะเวลาการฝึกอบรม
-ฝึกฝนทุกวัน
และฝึกที่วัด ทุกเสาร์/อาทิตย์ เป็นเวลา 8 อาทิตย์ ในช่วงแรก
-นำไปใช้ปฏิบัติต่อเนื่องตลอดไป
-หลังจากสึกออกไป กลับมาฝึกฝนที่วัดอย่างต่อเนื่อง
----------------------------
-หลังจากสึกออกไป กลับมาฝึกฝนที่วัดอย่างต่อเนื่อง
----------------------------
สอนโดย อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์ โทร 097 984 9355
ณ ชั้น 2 อาคารปฏิบัติธรรม วัดลาดพร้าว ซอยลาดพร้าว 41 กทม
***ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 15.30 ถึง 19.30 น. (หยุดทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ของทุกต้นเดือน) ***ในช่วงโควิดระบาด
ตั้งแต่ ปี 2564 ทางชมรม จะเปิดสอนทางโทรศัพท์ หรือ ทางไลน์ เท่านั้น
ในช่วงบ่าย วันจันทร์ ถึง ศุกร์ แทน กิจกรรม ที่ วัดลาดพร้าว ครับ
***กรุณาโทรนัดก่อนเดินทาง
ณ ชั้น 2 อาคารปฏิบัติธรรม วัดลาดพร้าว ซอยลาดพร้าว 41 กทม
***ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เวลา 15.30 ถึง 19.30 น. (หยุดทุกวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ของทุกต้นเดือน)
***กรุณาโทรนัดก่อนเดินทาง