แม่ชีบุญมี เวชสาร ถึงแก่กรรม สู่สุคติสัมปรายภพ
เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ เวลาประมาณ ๐๔.๓๐ น. นับตั้งแต่ที่ท่านได้บวชมา ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์
กิจวัตรหลักและเป้าหมายของท่านคือ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งเป็นวัตรปฏิบัติของการบวช เพื่อมุ่งหน้าสู่ปฏิเวธ
พ้นทุกข์ในอริยสัจ ๔ และเข้าสู่ความสุขสูงสุด คือพระนิพพาน
ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ที่ผู้เขียนได้เริ่มฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน
สนทนาธรรม สอบถาม สัมภาษณ์ และฟังเรื่องเล่าต่างๆ จากคุณแม่บุญมี กับ อ.ชัยพร
ชยานุรักษ์ คุณแม่จะสอนแต่เรื่องภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐานเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาที่รู้จักท่าน คุณแม่จะมีจิตที่เป็นกลาง ปล่อยวางอยู่ใน อารมณ์สงบนิ่งเสมอมา
สามารถควบคุมอารมณ์โลภะและโทสะได้ดีเยี่ยม โดยมิได้แสดงออกมาให้เห็นเลย เวลาทั้งหมดของท่านได้ทุ่มเทให้กับงานเผยแผ่ เรื่องการสอนวิปัสสนา
ส่งสอบอารมณ์ปฏิบัติ ร่วมงานบุญ ร่วมสร้างศาสนวัตถุ ช่วยเหลือลูกศิษย์
หรือสนทนาธรรมเท่านั้น
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่จะเรียก
แม่ชีบุญมี เวชสาร สั้นๆ ว่า คุณแม่ หรือ คุณยาย เพราะเคารพและสนิทสนมกับท่านเสมือนหนึ่งเป็น
คุณแม่ หรือ ญาติมิตรสนิทที่เคารพรัก แม้ว่าท่านจะมีลูกศิษย์มากมายหลายกลุ่มที่ไม่ค่อยรู้จักสนิทสนมกัน
แต่ลูกศิษย์ทุกกลุ่มทุกคนจะศรัทธารักเคารพคุณแม่เท่ากันหมด ซึ่งแสดงถึงความเป็นกลางในความเมตตา กรุณาและอุเบกขาของคุณแม่ แก่ลูกศิษย์ทุกคนเท่าเทียม ไม่แตกต่างกัน ไม่แยกว่าจนหรือรวย
คนต่างจังหวัดหรือคนกรุงฯ และ จบ ป.๔หรือปริญญาเอก
นอกจากการสั่งสอนดูแลลูกศิษย์ทุกคนเท่าเทียมกันแล้ว
ท่านจะเข้าร่วมกิจกรรมของทางวัดในวันสำคัญต่างๆ ทุกครั้งไม่เคยพลาด และให้ความสำคัญมากทุกครั้ง
ด้วยความเคารพศรัทธาต่อพระสงฆ์ทุกรูป ในวัดสัมพันธวงศ์ที่ท่านพึ่งพิงอาศัยอยู่
คุณแม่จะเมตตาตั้งใจสอนวิปัสสนาแก่ ทุกคนที่มาฝึกกับท่านเท่าเทียมกันหมด
และก็ไม่เคยอวดโชว์ผู้ใดว่า ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมาย ท่านจะถ่อมเนื้อถ่อมตัว และนอบน้อมอย่างจริงใจ ต่อพระสงฆ์ทุกรูปในวัด
เสมือนหนึ่งแม่ชีธรรมดาทั่วไป ที่มาพึ่งพาอาศัยวัดอยู่ ด้วยความกตัญญูรู้คุณของสถานที่
ซึ่งพฤติกรรมของท่านนี้เอง ที่ทำให้พระผู้ใหญ่ในวัดไว้วางใจ และสนับสนุนคุณแม่ในทุกๆ
เรื่อง ลูกศิษย์ใกล้ชิดจะทราบถึงเรื่องเหล่านี้ดี
ถึงแม้ว่าคุณแม่จะมีชื่อเสียง ด้านการสอนวิปัสสนาและมีผู้คนจำนวนมากโทรมาที่วัด เพื่อติดต่อหาคุณแม่ก็ตาม
ท่านยังคงประพฤติตนได้ อย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวมาตลอด
นอกจากประวัติของท่านแล้ว
จะขออนุญาตเล่าเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ที่แสดงถึงจิตที่เข้มแข็งของคุณแม่ในการควบคุมโทสะได้อย่างเหลือเชื่อ
เมื่อหลายปีก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม ลูกศิษย์ที่หวังดีกับคุณแม่ ได้พาคุณแม่ไปรักษาแพทย์ทางเลือกแถวชานเมืองกรุงเทพฯ
ด้วยวิธีทาน้ำมันจนทั่วท้อง จากนั้นก็กดนิ้วชี้ลงที่ท้อง กวาดวนเวียนไปมาอย่างรุนแรงมากอยู่หลายนาที คุณแม่แม้ในขณะนั้นจะมีอายุมาก ป่วยหลายโรค และมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง แต่ในขณะที่อาจารย์กดนิ้วชี้ และกวาดท้องคุณแม่ไปนั้น
ท่านจะมีสีหน้านิ่งๆ เหมือนนอนเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย ซึ่งแสดงถึงจิตใจที่มีสติสมาธิที่เข็มแข็งมาก และวางเฉยต่อเวทนาได้จริงๆ เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปรับการรักษา จะร้องโอยโอยกันจนกว่าอาจารย์จะกดกวาดท้องเสร็จ
หลังจากกดกวาดเสร็จ พอกลับไปบ้านวันรุ่งขึ้น จะเกิดอาการเขียวช้ำดำไปทั้งท้อง ซึ่งต้องรอเกือบเดือน ถึงจะหายเป็นปกติ
หลังจากรับการรักษา คุณแม่มีอาการเขียวช้ำไปทั่วท้องเช่นกัน จากการไปรักษาครั้งนั้นพิสูจน์ได้ว่า คุณแม่วางเฉยต่อเวทนาหรือโทสะได้ ในระดับสูงจริงๆ
ซึ่งบ่งบอกถึงสภาพจิต การมีสติทนต่อเวทนาอย่างรุนแรงได้
และการฝึกฝนที่ทำให้จิตเข้าถึง พุทธธรรมที่อัศจรรย์บางอย่างที่น้อยคนนักจะเข้าถึงได้
นอกจากเวทนาหรือโทสะแล้ว
ก็ไม่เคยเห็นคุณแม่มีการแสดงออก ด้านอกุศลอื่นๆ เช่น ความโลภะ ลำเอียง พูดอวดอ้าง
บ่น จู้จี้ ขี้อ้อน หรือ ยอมแพ้ต่อการสอน ในเหตุการณ์ใดๆ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่ ท่านกำลังมีสุขภาพไม่ดีเอามากๆ หลายต่อหลายครั้งที่ท่านได้สนทนาธรรมสอนลูกศิษย์
จนกระทั่งหมดสติน็อคไป คาเก้าอี้หรือตั่งที่นั่งอยู่ หรือบางครั้งที่หลังจากลูกศิษย์ไปแล้ว
ท่านจะป่วยมาก จนต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที เหตุผลที่คุณแม่ไม่หยุดสอนหรือพูดธรรมะ แก่ลูกศิษย์ทุกคนที่มาเยี่ยม เพราะคุณแม่มีเมตตา
ท่านรู้ว่าลูกศิษย์ส่วนใหญ่เดินทางมาแดนไกล เพื่อเยี่ยมเยียน ให้สอนวิปัสสนาหรือสนทนาธรรมด้วย
คุณแม่มีความอดทนอย่างสูงมากต่อเวทนาและความเจ็บป่วยหลายโรคที่ท่านเป็นอยู่
ท่านจะไม่เคยบอกลูกศิษยสักคำเดียวเลยว่า “ไม่ไหวแล้วลูก ขอพักก่อน”
ตรงกันข้ามท่านกลับคุยต่อในท่าทางปกติไปเรื่อยจนกว่าจะจบสนทนา ลูกศิษย์ที่รู้ทันสภาพร่างกายของคุณแม่จะช่วยป้องกันโดยการถามคุณแม่ว่า
คุณแม่มีอาการรู้สึกอย่างไรบ้าง จนช่วงหลังๆ ต้องถามเพื่อให้ท่านตอบว่า ถ้าจาก 0-100 ตอนนี้ท่านปวดประมาณกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว
เพราะรู้ว่าท่านไม่เคยมุสาโกหกเลย ท่านถึงจะตอบตรงตามความเป็นจริง
พวกเราถึงยอมเลิกสนทนา กับท่านและจากไปด้วยความเสียดายในเวลาที่จำกัด แม้ว่าอยากจะคุยอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
ก็ตาม
ถึงกระนั้นลูกศิษย์หลายท่านก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าคุณแม่ไม่ค่อยสบาย
เพราะหน้าตาท่านจะเฉยๆ ดูไม่ออกว่าป่วย และไม่เคยแสดงอาการ หรือบ่นออกจากปากแสดงความเจ็บป่วยนั่นเอง
จากการสังเกตเห็นผู้ที่เข้าพบกับคุณแม่
แทบทุกท่านอยากจะนั่งคุยกับท่านเพลินๆ ไปทีละหลายชั่วโมงครึ่งวัน
หรือทั้งวันยังได้เลย คุณแม่ยังมีลูกศิษย์ที่เคารพศรัทธา และฝึกวิปัสสนาผ่านโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศหลายคน ลูกศิษย์คุณแม่ที่อยู่อังกฤษท่านหนึ่งที่ศรัทธาคุณแม่
ถึงกับเอยปาก ยกที่ดินหลายไร่ให้คุณแม่ เพื่อสร้างเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม
แต่คุณแม่ก็ไม่รับการบริจาค กลับตอบปฏิเสธไป ด้วยเหตุผลที่ท่านมีอายุมากแล้ว ไม่พร้อมที่จะบริหารจัดการ
เพราะสุขภาพท่านไม่ค่อยดีในช่วงหลังๆ เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง
คุณแม่เคยได้เล่าเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานของท่านในอดีตให้ฟังว่า
คุณแม่เริ่มฝึกแนวพองยุบมาตั้งแต่แรก จนต่อมาได้มาฝึกจริงจัง กับพระอาจารย์ใหญ่(พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ)
วิปัสสนาจารย์สายพองยุบชาวพม่ารูปแรกที่มาสอนในประเทศไทย ผู้ที่มีคุณูปการอย่างสูงต่อประเทศไทยและพุทธศาสนิกชน ท่านได้รับนิมนต์จาก พระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) มาเป็นพระวิปัสสนาจารย์เผยแผ่สอนในประเทศไทยตั้งแต่ปี
๒๔๙๖ ที่วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ กรุงเทพฯ ต่อมาได้ย้ายไปสอนที่ สำนักวิเวกอาศรม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จนกระทั่งท่านมรณภาพไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จุดเริ่มต้นในการนิมนต์ครั้งนั้น ก่อให้เกิดวิปัสสนาจารย์ และสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน กระจายไปทั่วประเทศ
ซึ่งมีผู้เคยฝึกรูปแบบพองยุบมาแล้ว น่าจะเกือบหรือมากกว่า ๑ ล้านคน ปัจจุบันวิปัสสนากัมมัฏฐานยังคงเป็นที่นิยมมาก แก่ทั้งชาวพุทธ และชาวต่างประเทศ ที่สนใจเรื่องการเจริญสติ หรือที่สากลเรียกกันว่า
Mindfulness Meditation ซึ่งเป็นงานเผยแผ่หลักด้านวิปัสสนาธุระและคันถธุระ ในหลายประเทศของพระธรรมฑูตสายมหานิกายของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การสอนวิปัสสนาแนวพองยุบในประเทศไทยที่คุณแม่สอนอยู่นี้
เกิดขึ้นมาได้จากหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “พระวิสุทธิมัคคเผด็จ” ที่ถูกอ่านโดย
พระพิมลธรรม(อาจ อาสโภ) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ ในช่วงก่อนปี พ.ศ.
๒๕๐๐ หลังจากอ่านจนจบแล้ว
ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและกล้าคิดกล้าทำของท่าน
ประกอบกับเห็นว่าในประเทศไทยยังไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามรูปแบบในคัมภีร์ที่ปัจจุบันเรียกว่า
คัมภีร์วิสุทธิมรรค ที่รจนาขึ้นจากประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนา และทฤษฎีในพระไตรปิฎกมาเรียบเรียงขึ้นจนสำเร็จในช่วงปี
พ.ศ. ๑๐๐๐ เป็น ๓ ภาคส่วน คือ ศีลนิเทศ
สมาธินิเทศ และปัญญานิเทศ หนังสือวิสุทธิมรรคคือคัมภีร์สำคัญ สำหรับโยคีผู้เจริญวิปัสสนาสายพองยุบทุกท่าน และยังเป็นต้นฉบับที่สรุปย่อ เรื่องไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ให้ศึกษาง่ายด้วยการเรียบเรียงจากในพระไตรปิฎก จนกลายเป็นคัมภีร์ปริยัติธรรมศึกษา สำหรับพระสงฆ์ไทย
ที่ใช้ในการศึกษาภาษาบาลี เปรียญธรรมประโยค ๘ และ ๙ ในปัจจุบัน
คุณแม่เล่าให้ฟังต่อเรื่องประวัติและประสบการณ์ปฏิบัติวิปัสสนาของคุณแม่กับพระอาจารย์ใหญ่
ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ที่สำนักวิเวกอาศรม อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี คุณแม่ได้ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนา โดยกำหนดอารมณ์ทั้งวันตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป
โดยไม่คุยเล่นหรือนั่งเล่นที่ไหนเลย ตลอดเวลาที่ไปฝึกท่านจะกำหนดเจริญสติ อย่างต่อเนื่องทั้งวัน และไปสอบอารมณ์ วันละครั้งกับหลวงพ่อใหญ่ (คุณแม่จะเรียก พระอาจารย์อย่างนั้น)
คุณแม่บอกว่าหลวงพ่อใหญ่จะสอน ให้กำหนดเสียง และทุกอารมณ์ที่ปรากฎด้วย
ไม่ใช่แต่ข้างในอย่างเดียว โดยจะไม่ให้กำหนดจี้ เพ่ง บังคับ หรือจมอยู่กับอารมณ์ใด คุณแม่เน้นว่าท่านสอนให้กำหนดเสียงด้วยว่า
ยินหนอ ซึ่งคุณแม่เอายินหนอมาใช้กำหนด ในเวลาขณะที่ท่านจมสมาธิ หรือช่วงที่มีสมาธิมากเกินไป
ท่านเล่าว่า ท่านแก้สภาวะจมสมาธิ ด้วยวิธีกำหนดสติขยับย้ายไปแตะ ยิน ยิน ถูก ถูก
ไปเรื่อยๆ แม้บางครั้งกำหนดบริกรรมจะไม่ค่อยออก ก็ใช้เพียงจิตที่รู้ไปแตะ รู้ยิน
รู้ยิน รู้เย็น รู้ถูก รู้นิ่ง รู้อารมณ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีองค์บริกรรมเป็นคำในใจ ท่านบอกว่าบางครั้งยิ่งบริกรรม
ยินหนอในใจ ยิ่งทำให้จมสมาธิ เพราะท่านยังบอกอีกว่าท่านมีสมาธิมากเป็นฐานอยู่แล้ว และในบางครั้งท่านจะบริกรรมไม่ออก
คุณแม่เอ่ยปากชมเชยหลวงพ่อใหญ่ว่า
สอบอารมณ์ได้เก่งและละเอียดที่สุด ไม่มีท่านใดสอนได้ลึกซึ่ง เหมือนหลวงพ่อใหญ่เลย
แม้ว่าจะได้เคยเดินธุดงค์ ไปหลายจังหวัด ผ่านวัดต่างๆ และได้กราบพบเจอพระสงฆ์มามากมายก็ตาม
แต่ก็ไม่มีใครสอนได้ดีละเอียดเท่ากับหลวงพ่อใหญ่
คุณแม่สอนต่อว่า การปฏิบัติวิปัสสนาทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง
และทำให้เกิดความสุขทางใจมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเจริญสติ กำหนดรูปกับนามไปเรื่อยๆ
อย่างต่อเนื่อง จนเห็นพระไตรลักษณ์ หลังจากนั้นปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน โดยกำหนดสติ ให้ทันตามอารมณ์ อย่างเป็นธรรมชาติไปเรื่อยๆ
จะเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาญาณ ๑๖ ในไม่ช้า สุดท้ายปัญญาในการลดละกิเลส จะเกิดขึ้นเองในใจ
โดยไม่ต้องนึกคิดหลักธรรม หรือท่องจำในตำราคัมภีร์ เพราะถ้าจำธรรมะได้
แต่ไม่ปฏิบัติ จิตก็ยังมีกิเลสอยู่ คุณแม่บอกว่า “มันเป็นเพียงความจำหรือสัญญา
ยังไม่ใช่ปัญญาแท้”
ผมเองได้ไปฝึกปฏิบัติวิปัสสนาที่วิเวกอาศรมในปี
พ.ศ.๒๕๓๖
ในสมัยพระอาจารย์ชาลี จารุวณฺโณ (วิปัสสนาจารย์ลูกศิษย์หลวงพ่อใหญ่ ที่เป็นผู้ช่วยสอน รองจากท่านในวิเวกอาศรม
ได้เป็นพระธรรมทูตรุ่นที่ ๕ อยู่ประเทศอเมริกาตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ จนปัจจุบัน)
และได้มีโอกาสในการรับฟัง การสอนวิปัสสนาจาก พระอาจารย์ใหญ่ ภัททันตะ อาสภเถระ ประเด็นที่สำคัญในครั้งนั้นคือ
ท่านกล่าวว่า “การปฏิบัติวิปัสสนา ให้กำหนดสั้นๆ ไม่ใช้กำหนด ขวาขวาขวาขวาขวา
ย่างย่างย่างย่างย่าง หนอหนอหนอหนอหนอ ยาวๆ ยืดๆ
ท่านบอกว่ากำหนดแบบนี้ ไม่ถูกหลักวิปัสสนา” เพราะการกำหนดยาวๆ
เป็นการเจริญสมถะหรือสมาธิ ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา
ในช่วงนั้นมีพระสงฆ์ไปฝึกวิปัสสนาที่วิเวกอาศรมมากกว่าฆราวาส
ส่วนใหญ่จะฝึกกันในศาลาใหญ่ชั้นล่าง ครั้งหนึ่งบังเอิญเห็นพระสงฆ์ท่านหนึ่ง เจริญวิปัสสนาในท่านั่งสมาธิ
ท่านนั่งหลับตาตัวสั่นกระตุกหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงมาก อย่างไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นเวลานานมาก
พร้อมกับเสียงลมหายใจพุบพับเข้าออกดังมาก สภาวะเช่นนี้หลายคนอาจเข้าใจว่านั่งสมาธิแล้ว จะต้องนั่งตัวตั้งตรงตลอดถึงจะถูก
แต่ความจริงแล้ว ถ้าปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะอารมณ์ปรมัตถ์แล้ว มักจะมีสภาวะแปลกๆ
ปรากฎขึ้นภายในร่างกายเอง จะไม่มีใครเลยสามารถประคองตัวนั่งตรงได้ตลอดเวลา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเท่ากับบังคับตัว
ซึ่งเป็นการน้อมกลับเข้าสู่อารมณ์บัญญัติ คล้ายกับถอยไปเริ่มต้นใหม่นั่นเอง การเจริญวิปัสสนานั่นมีอะไรลึกซึ้งที่เกี่ยวกับ สภาวะของจิตมากมาย
อย่างพิสดารที่นึกไม่ถึง คล้ายกับฉายหนังโรงใหญ่ให้ดู
ด้วยอารมณ์ที่จิตจะแสดงเกิดขึ้นเอง ในหลากหลายอารมณ์ เช่น ชัด/เบลอ ช้า/เร็ว
แผ่วเบา/รุนแรง นุ่มนวล/หนักแน่น สดใส/เศร้าหมอง สม่ำเสมอ/มามาหายหาย
กำหนดได้/กำหนดไม่ได้ สุข/ทุกเวทนา อารมณ์ที่หลากหลาย/อารมณ์ที่เหมือนกันหมด
มี/ไม่มี คล้ายง่วง/คล้ายตื่น ดี/ไม่ดี เป็นต้น
หลังจากผ่านมาหนึ่งปี
อาจารย์สอนหนังสือรุ่นพี่ นักปฏิบัติที่รู้จักกันมานาน เล่าเรื่องหลวงพ่อใหญ่ให้ฟังว่า
เขาเคยเข้าร่วมคอร์สวิปัสสนากรรมฐานของคุณแม่สิริ กริณชัย และต้องการฝึกปฏิบัติเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง
เขาจึงเดินทางมาฝึกวิปัสสนา กับหลวงพ่อใหญ่ ที่วิเวกอาศรมในช่วงปิดเทอม เพราะไม่ต้องสอนหนังสือ
เป็นเวลาตลอด ๓ เดือน เขาตั้งใจเอาจริงเอาจังปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน โดยแทบจะไม่ค่อยคุยกับใครเลย
ยกเว้นตอนส่งอารมณ์กับหลวงพ่อใหญ่ เขาปฏิบัติได้ดีมากคล้ายๆ กับคุณแม่ เขาเล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อใหญ่ชมว่าปฏิบัติได้เก่ง ตั้งใจปฏิบัติดีมาก และมีสภาวะดี หลวงพ่อใหญ่ชอบสอนคนแบบนี้ เพราะสอนไปแล้ว มีการบ้านมาส่งทุกวันไม่ซ้ำกันเลย(สภาวะ) พอครบ ๓ เดือนก่อน จะกราบลาหลวงพ่อใหญ่
ท่านกล่าวกับอาจารย์ผู้นี้ว่า ตั้งใจทำได้ดี มีสภาวะมาส่งทุกวัน
หลวงพ่อชอบสอนคนแบบนี้ ก่อนกลับหลวงพ่อใหญ่ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ว่า
ในอนาคตให้มาเป็นลูกศิษย์ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อ
กับหลวงพ่อใหญ่อีกนะที่จังหวัดอยุธยา เพราะหลวงพ่อใหญ่อยากจะพูดภาษาไทยให้ได้เก่งกว่านี้
และจะกลับมาสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานให้กับคนไทยอีก ในอนาคตที่จังหวัดอยุธยา
นี่เป็นเรื่องเล่าสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้
การฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น
ผู้ฝึกจะต้องทำเองเห็นเองโดยที่วิปัสสนาจารย์ จะไม่สอนอะไรล่วงหน้า ทั้งไม่นิยมบันทึกสภาวะทำเป็นตำรา ให้อ่านศึกษาก่อน
ผู้ที่ศึกษาแต่ปริยัติ และไม่ได้ฝึกวิปัสสนายากที่จะเข้าใจ
วิปัสสนาจารย์ในอดีต จะไม่นิยมเขียนเป็นหนังสือ อธิบายในเรื่องสภาวะธรรม ที่ปรากฎจากการปฏิบัติ
เพราะจะเป็นการบอกล่วงหน้าทำให้ฟุ้งซ่านเกิดการพิจารณานึกคิด ซึ่งจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีแก่ผู้ฝึกปฏิบัติ วิปัสสนาจารย์จะให้ฝึกเองเห็นเอง ถึงจะได้ของแท้จริงที่เกิดขึ้นในใจ
ทำให้จิตเดินตรงนำเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนา โดยมีเป้าหมายคืออารมณ์พระนิพพาน
การฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานของคุณแม่ในช่วงแรกจะเริ่มต้นฝึกด้วยการฝึกกำหนด
พองหนอ ยุบหนอ และกำหนดเดินจงกรมแบบเคลื่อนขยับขา ช้าๆ ค่อยๆ ขยับเขยื่อนเคลื่อนไปทีละน้อย
หลังจากเดินจงกรมเสร็จ จะนั่งสมาธิกำหนด พองหนอ ยุบหนอ เป็นหลัก หลังจากฝึกไปสักพักท่านบอกว่า ได้เพิ่มการกำหนดเสียง
และอารมณ์อื่นๆ ด้วย ตามที่หลวงพ่อใหญ่สอนไว้ ซึ่งช่วยทำให้ไม่จมสมาธิ ตราบใดที่มีการกำหนดไปเรื่อยๆ
จนเกิดสติสัมปชัญญะคล่องแคล่ว กำหนดต่ออารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฎขึ้นได้ทัน จากนั้นคุณแม่ก็ได้มุ่นมั่น ปฏิบัติจริงจังไปเรื่อย จนเกิดสภาวะธรรมก้าวหน้า อยู่ในเส้นทางของวิปัสสนา จนมาถึงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ท่านเล่าว่า คุณแม่ได้เก็บเสื้อผ้าเก็บของ เพื่อจะเดินทางกลับบ้าน ก่อนกลับจะไปกราบลาหลวงพ่อใหญ่
เพราะในใจรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้อยากกลับบ้าน คิดว่าหมดบุญวาสนาแล้วในการปฏิบัติ
วันหน้าค่อยมาฝึกใหม่ ในขณะที่เดินออกจากที่พักในวิเวกอาศรม
คุณแม่เรียกที่พักของท่านว่า คอนโด เป็นตึกคล้ายๆ อพาร์ทเม้นท์ ระหว่างทางเดิน
ท่านฉุกคิดขึ้นมาว่า “มาปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาไม่ใช่หรือ ออกไปแล้วจะไปทำอะไร”
ท่านคิดไปคิดมาอยู่ครู่ใหญ่ จนในที่สุดก็ตอบในใจขึ้นมาว่า ยังปฏิบัติไปไม่ถึงไหน
ท่านจึงหันหลังเดินกลับไปที่พัก เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาต่อ พอถึงตอนไปสนทนากับหลวงพ่อใหญ่
ท่านเอยปากชมคุณแม่ว่า คุณแม่เป็นคนอีสาน คนอีสานมีความอดทนสูง
จากนั้นคุณแม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อ โดยมาส่งอารมณ์ทุกวันกับหลวงพ่อใหญ่เพื่อแก้สภาวะให้
รวมเป็นเวลาต่อเนื่องราว ๓ เดือน จนเป็นที่พอใจ จากนั้นคุณแม่จึงกราบลาหลวงพ่อใหญ่ เพื่อเดินทางกลับมาพักอาศัย และเริ่มสอนวิปัสสนาแก่ญาติโยมที่กรุงเทพฯ
ตั้งแต่เริ่มสอน
จนถึงราวปี พ.ศ. ๒๕๔๕
คุณแม่ยังสอนวิปัสสนาด้วยรูปแบบ ที่ให้เดินจงกรมช้าๆ
และนั่งสมาธิกำหนดพองยุบแบบเงียบๆ ไม่ให้มีเสียงดัง ในศาลาหลวงปู่แหวน
วัดสัมพันธวงศ์ นับตั้งแต่เริ่มสอนมา จะมีลูกศิษย์มาฝึกปฏิบัติวิปัสสนา กับคุณแม่มากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไม่ขาดสาย ท่านได้สอนวิปัสสนาแก่ลูกศิษย์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้มีโอกาส สอนวิปัสสนาให้กับคุณชัยพร
ชยานุรักษ์ ในช่วงแรกๆ ของการฝึกวิปัสสนา คุณแม่เล่าว่าคุณชัยพรไม่ปรากฎมีพองยุบ
มีแน่นิ่งๆ ไม่เจอพองยุบ คุณแม่จึงให้ใช้การกำหนด นั่งหนอ ถูกหนอ
แทนความนิ่งของอารมณ์ที่ไม่มีพองหรือยุบ วิธีนี้กลับทำให้ได้ผลดี แก่ผู้ที่ไม่มีพองยุบ
เพราะทำให้ไม่จมไม่นิ่งไม่เพ่ง ช่วยให้เกิดสติกำหนดอารมณ์ต่างๆ ได้ดี และที่สำคัญทำให้เข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาได้เหมือนกัน
จากนั้นมาไม่นานคุณแม่ได้ค้นพบว่า
การที่กำหนดถูกหนอ นั้นกลับได้ผลดีมากแก่ผู้ฝึกปฏิบัติใหม่ และก็ถูกหลักปฏิบัติวิปัสสนาได้เช่นเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยพองหนอ ยุบหนอ เพราะว่าการกำหนดอารมณ์เป็นจุด
ไม่จมอยู่กับที่ มีการกำหนดขยับย้ายไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นพระไตรลักษณ์ได้เร็ว และนำพาจิตมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางของวิปัสสนาญาณได้แบบเดียวกับ วิธีการกำหนดพองยุบ
ประสบการณ์การสอนครั้งนี้ เป็นแบบทดลองที่ดี ทำให้คุณแม่นำเอาไปพัฒนาสอนวิปัสสนา แก่ลูกศิษย์ใหม่ๆ
จากที่เคยปฏิบัติยากมาก กลับกลายเป็นที่ปฏิบัติได้ง่าย จนบางท่านที่ไม่เข้าใจ และคิดไปเองว่า คุณแม่อาจจะสอนผิด
เพราะสอนไม่เหมือนแนวหลวงพ่อใหญ่ ที่สอนให้กำหนดพองยุบ หลังจากนั้นคุณแม่ได้สอบอารมณ์คุณชัยพร อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
บังเอิญในช่วงนั้นคุณชัยพร มีเวลาปฏิบัติวิปัสสนามาก
เข้าใจวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาได้เร็ว และปฏิบัติจริงจังต่อเนื่อง จนกระทั่งคุณแม่ทราบถึงผลของการปฏิบัติ จนเป็นที่พอใจ
ท่านจึงได้เชิญคุณชัยพร และอนุญาตให้มาเป็นวิปัสสนาจารย์แทนคุณแม่ เพื่อช่วยสอนลูกศิษย์ในศาลาหลวงปู่แหวนนับแต่นั้นมา
คุณแม่พูดเสมอว่าการจะเป็นวิปัสสนาจารย์ได้
จะต้องปฏิบัติผ่านมาหมดก่อน แล้วจึงจะสอนคนอื่นได้ ถ้าปฏิบัติไม่ผ่าน
ก็ไม่สามารถเป็นวิปัสสนาจารย์ได้ และจะสอนนำพาคนไปให้ถูกทางได้อย่างไร
ในสมัยที่คุณแม่อยู่วิเวกอาศรม ท่านบอกว่าปีๆ หนึ่งจะมีคนผ่านน้อยมาก
วิปัสสนาจารย์ในสมัยนั้นจะต้องปฏิบัติได้จริง โดยอยู่ในการควบคุมดูแลของหลวงพ่อใหญ่ ฉะนั้นคำว่าวิปัสสนาจารย์ในสมัยก่อนนั้น ท่านบอกว่ามันไม่ได้มาง่ายๆ มีน้อยคนมากที่จะผ่านในแต่ละปี คุณแม่สอนต่อว่า
ถ้าสอนใครไปผิดทาง จะเป็นวิบากกรรมนะลูก ไม่แน่ใจอย่าสอน
นับตั้งแต่รุ่นคุณชัยพรเป็นต้นมา
คุณแม่จะสอนแก่โยคีใหม่โดย เปลี่ยนกำหนดพองยุบ มาเป็นการกำหนด ถูกหนอ ๔ จุด(อารมณ์ภายใน) โดยให้เอามือไปแตะเบาๆ ที่บนขา ๔
มุมไปมาช้าบ้างเร็วบ้าง แล้วค่อยให้กำหนดเอง พร้อมกับการกำหนดเสียง ยินหนอ(อารมณ์ภายนอก) ผสมผสานกันด้วย เพราะวิธีนี้ท่านบอกว่าได้ผลดี
ทำให้เข้าสู่อารมณ์ปรมัตถ์ได้เร็ว แม้ว่ารูปแบบนี้จะเป็นวิธีแบบใหม่
ที่ไม่เหมือนกับพองยุบแบบดั้งเดิมก็ตาม แต่ฝึกไปแล้วได้ผลดีเช่นเดียวกัน
นอกจากนั่งสมาธิไม่ใช้พองยุบเป็นการกำหนดเบื้องต้นแล้ว
มิใช่ว่าไม่ให้กำหนด คุณแม่สอนว่าถ้ามีพอง หรือ ยุบ ก็ต้องกำหนด พองหนอ ยุบหนอ
ตามความเป็นจริงด้วย สำหรับบางท่านที่เคยฝึกมา เพราะทำไปสักพัก พองยุบจะมาเองทุกคน
ที่สำคัญท่านสอนว่าอย่าไปตามพองยุบ อย่าเพ่ง อย่าจี้ อย่าจมแต่กับ พองหนอ
หรือยุบหนอ คำสอนของคุณแม่เน้นเสมอว่า “กำหนดแล้วย้ายนะลูก”
ประโยคนี้จะได้ฟังบ่อยมากจากคุณแม่ เสมือนเป็นประโยคกุญแจสำคัญ ในการเจริญวิปัสสนาทีเดียว
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึก
คุณแม่จะให้กำหนดแล้วย้าย
ไม่ให้จี้ ไม่ให้เพ่ง เช่นเดียวกับ คำสอนของพระอาจารย์สมภาร สมภาโร วิปัสสนาจารย์
วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ และวิปัสสนาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
อีกท่านที่คุ้นเคยกับคุณแม่ เพราะคุณแม่ทราบว่าท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ ในช่วงรุ่นเดียวกับคุณแม่
คือเป็นศิษย์สำนักวิเวกอาศรมเหมือนกัน
คุณแม่จะให้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่ต้องการทำบุญ หรือมีเคราะห์ไปถวายสิ่งของ กับพระอาจารย์สมภารเสมอ พระอาจารย์สมภารก็กล่าวสอนวิปัสสนา ในแนวเดียวกับคุณแม่ว่า
วิปัสสนาต้องไม่จี้ ไม่เพ่ง ไม่บังคับ ไม่แช่
แต่ให้กำหนดอารมณ์ ตามความเป็นจริงที่ปรากฎขึ้นอย่างต่อเนื่อง
วิธีการกำหนดแล้วย้ายของคุณแม่ สอดคล้องกับการสอนกำหนดเวทนาครั้งเดียว แล้วย้ายเช่นกัน
เนื่องจากรูปแบบการสอนกำหนดเวทนาในปัจจุบัน มีด้วยกัน ๓ แบบ คือ
กำหนดเวทนาจนกว่าจะหาย / กำหนดปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ
๓ ครั้ง / หรือ กำหนด ปวดหนอ ครั้งเดียว แล้วย้ายไปสู่อารมณ์อื่น
ไม่ให้จมแช่เพ่งอยู่กับปวดหนอ เพราะบ่อยครั้งยิ่งกำหนดปวดหนอ ยิ่งปวดมากขึ้น ทำให้คนส่วนใหญ่ทนไม่ได้ และเกิดการเข็ดขยาดกลัวต่อวิปัสสนาไปเลย คุณแม่และพระอาจารย์สมภาร ได้สอนในทำนองเดียวกันว่า ถ้ากำหนดปวดหนอ หลายๆ
ครั้ง
โยคีส่วนมากยิ่งกำหนดยิ่งดิ่งจมอยู่กับเวทนา ทำให้ยิ่งปวดมาก ทำให้เกิดโทสะเพิ่มขึ้น
และในที่สุดจะทนเวทนาไม่ไหว ซึ่งทำให้เข็ดขยาดต่อการปฏิบัติวิปัสสนาไปเลย ดังนั้นวิธีกำหนดแล้วย้าย
เป็นเทคนิคสำคัญมากช่วยทำให้ทนต่อเวทนาได้ดี และยังเป็นการเจริญสติปัฏฐานเหมือนกัน
เพราะถ้ามีอารมณ์อื่นเกิดขึ้น ก็ให้กำหนดอารมณ์อื่นได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องแช่อยู่กับปวดหนอ
ปวดหนอ ปวดหนอ อย่างเดียว
อีกอารมณ์หนึ่งที่สำคัญมากในการสอนวิปัสสนาของคุณแม่
คือการให้กำหนดเสียงว่า ยินหนอ ท่านเน้นสอนเสมอว่าการกำหนดเสียงสำคัญมาก
เพราะเสียงช่วยให้ไม่จมสมาธิ ช่วยให้คลายออกจากสมาธิ(ถ้าสมาธิมากเกินไป) ช่วยให้ไม่ติดอยู่แต่อารมณ์ภายใน
และที่สำคัญช่วยทำให้ก้าวหน้าในการเจริญวิปัสสนา
ดังนั้นท่านจึงได้พัฒนารูปแบบการสอนในศาลาหลวงปู่แหวนโดยไม่ให้อยู่ในห้องเงียบ
ด้วยการใช้เสียงกระดิ่งมาช่วย ใช้ฝ่ามือตบให้เกิดเสียงบางช่วงเพื่อช่วยในการกำหนด
ใช้กบไม้มาเคาะให้เกิดเสียง และให้กำหนดเสียงที่หลากหลายภายในศาลา วิธีนี้เป็นเทคนิคและตัวช่วยสำคัญของวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐานของคุณแม่
ลูกศิษย์ที่ฝึกปฏิบัติต่อเนื่องจะรับรู้และเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
การสอนเดินจงกรมของท่านยังปรับเปลี่ยนไปจากรูปแบบอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม
คือ เดินจงกรมในห้องเงียบ ด้วยอาการเคลื่อนไหวที่ช้าที่สุด ในอิริยาบถค่อยๆ
เคลื่อนไป กำหนดไปช้าๆ รูปแบบใหม่ที่คุณแม่พัฒนาขึ้นจากเดิม
คือให้เดินจงกรม ความเร็วปกติ ไม่ให้เดินช้า เพราะท่านสอนว่าเดินช้าบางทีทำให้ไปเพ่ง
และจะจมสมาธิได้ มิใช่การมีสมาธินั้นไม่ดี แต่ในการเจริญวิปัสสนา สตินั้นสำคัญมาก
ถ้าสมาธิมากเกินไปจะทำให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติ ฉะนั้นอารมณ์ที่สมดุลย์คือ สตินำหรือสติคู่กับสมาธิ
เมื่ออินทรีย์สมดุลย์แล้วสติกับสมาธิจะค่อยๆ มากขึ้นเองคู่กันไปตลอดเส้นทาง
จนกระทั่งสมาธิจะค่อยๆ มากขึ้นไปตามลำดับคู่กับสติ จนถึงสมาธิลึกสุดคืออัปปนาสมาธิ รูปแบบการสอนเดินจงกรมของท่าน จึงปรับเปลี่ยนให้เดินเร็วปกติ
ไม่ต้องเดินช้าๆ เคลื่อนเท้าที่ละนิด แต่ให้เดินธรรมดาและกำหนด ยินหนอ เห็นหนอ
เย็นหนอ กลิ่นหนอ ไปด้วยนอกเหนือจากการกำหนดเดิน ถ้ามีอารมณ์อะไรปรากฎก็ให้กำหนดด้วย ท่านสอนต่อว่าจะได้เอาไปใช้ในระหว่างวันได้ดี เพราะในชีวิตจริงของฆราวาส
ระหว่างวันเราเดินเร็ว เราไม่ได้เดินช้าๆ ถ้าฝึกกำหนดเดินช้าๆ
เวลาเดินเร็วจะกำหนดไม่ทัน กำหนดไม่เป็น หรือลืมกำหนด ซึ่งลูกศิษย์ที่ฝึกกำหนดเดินปกติอย่างต่อเนื่อง
จะเข้าใจได้ดี เพราะสามารถนำไปเจริญสติในระหว่างวันเพิ่มมากขึ้นได้ ตามคำสอนของท่าน
นอกจากการสอนเดินและนั่งสมาธิแล้ว
คุณแม่ยังเน้นและให้ความสำคัญแก่โยคี ให้ไปปฏิบัติเจริญสติในระหว่างวันด้วย ไม่ใช่แค่ฝึกเดินจงกรม และนั่งสมาธิในวัดเท่านั้น
ท่านจะให้ไปกำหนดในระหว่างวันด้วย เพราะวันๆ เราทำงานหรืออยู่กับครอบครัว นานหลายชั่วโมง
อย่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ ให้กำหนดสติด้วย
และนำเรื่องราวในระหว่างวัน มาส่งอารมณ์กับคุณแม่ด้วย
ในอดีตแม้ว่าคุณแม่จะเคยฝึกด้วยการกำหนดพองยุบ และเดินจงกรมช้ามาก่อน
แต่ท่านกลับปรับการสอน ให้กำหนดถูกหนอแทนพองยุบ และเดินจงกรมปกติ แทนการเดินช้าๆ
เพราะท่านเรียนรู้จากประสบการณ์การสอนลูกศิษย์จำนวนมากว่า ปฏิบัติด้วยแบบของท่านแล้วได้ผลดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่ารูปแบบดังเดิมนั้นผิด
ท่านว่าปฏิบัติได้เหมือนกัน แล้วแต่นักปฏิบัติ
ตลอดเวลาที่รู้จักกับคุณแม่ ท่านไม่เคยบอกสักคำเลยว่า รูปแบบนั้นหรือรูปแบบนี้สอนผิด
พระสงฆ์ท่านนั้นพระสงฆ์ท่านนี้สอนผิด อีกทั้งไม่เคยบอกเลยว่ารูปแบบที่ท่านสอนอยู่นี้ ดีหรือถูกที่สุด
ท่านจะไม่เคยอวดและเปรียบกับใครหรือสำนักใดๆ ทั้งสิ้น ท่านเพียงแต่สอนวิปัสสนาแก่ลูกศิษย์ที่ศรัทธา และต้องการปฏิบัติกับคุณแม่
โดยไม่ยึดติด ไม่อวดอ้าง หรือไม่เคยกล่าวโจมตีรูปแบบกัมมัฏฐานอื่นใดเลย ใครมาก็สอนด้วยความเมตตาเท่าเทียมกันหมด
และไม่เคยตำหนิว่าผู้ใด ที่ไม่ได้สนใจในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานเลย ท่านเพียงแต่บอกว่า
แต่ละคนมีบุญวาสนา และศรัทธาไม่เหมือนกัน จะบังคับกันไม่ได้
ประสบการณ์การปฏิบัติของคุณแม่ในรูปแบบดั้งเดิมและการสอนในรูปแบบใหม่นี้ทำให้เชื่อว่า
ท่านจะต้องมีความมั่นใจในฐานะวิปัสสนาจารย์ ที่ขึ้นทำเนียบ ของวิเวกอาศรมว่า รูปแบบการสอนใหม่ ที่ให้เดินปกติและกำหนดแล้วย้าย
เป็นวิธีการที่ได้ผลดีมากกับผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ก็มีแต่เพิ่มมาก
ดังนั้นรูปแบบของการฝึกวิปัสสนาของคุณแม่ แม้จะเริ่มฝึกแตกต่างกันไปบ้าง จากรูปแบบดั้งเดิม
การที่จะพิสูจน์ว่ารูปแบบนี้ได้ผลเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับอีกหลายประเด็นสำคัญที่จะนำเสนอต่อไป
ประเด็นแรก ผลที่ได้ในรูปแบบใหม่ ทุกท่านที่ฝึกต่อเนื่องจะเกิดฉันทะชอบ
ยังคงมาปฏิบัติวิปัสสนาอย่างต่อเนื่องตราบจนทุกวันนี้ทุกคน
ไม่มีใครเข็ดขยาด หรือกลัววิปัสสนาเลย แม้ว่าบางท่านจะมีเวทนารุนแรงมากในขณะปฏิบัติก็ตาม ยังคงมาทำต่อเนื่อง
นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของการปฏิบัติ
ประเด็นที่สอง ทุกคนที่ฝึกแล้วเกิดสติมีธรรมะขึ้นเองในใจ โดยไม่มีคนมาบอกมาพร่ำสอน กิเลส ๓ (โมหะ โลภะ โทสะ) ลดลงในระดับหนึ่งทุกคน ตัวอย่างเช่น
หลังจากฝึกไปแล้วลูกศิษย์บางท่านเคยโกรธง่าย ขี้บ่นก็ดีขึ้น เคยฆ่าสัตว์ก็เลิกฆ่าเลิกกิน
เคยชอบกินเหล้าก็หยุดได้เอง เคยอิจฉาริษยาก็ลดน้อยลง
เคยเปิดธุรกิจขายเหล้าก็หยุดกิจการไปเอง โดยต้องมีใครมาพร่ำสอน เจ้าตัวเห็นเองเลิกได้ด้วยตัวเอง
เกิดการพัฒนาปัญญาในใจของผู้ปฏิบัติ เกิดหิริโอตัปปะขึ้นในใจ
และยังไม่เคยได้ยินใครบอกว่าปฏิบัติแล้วไม่ดีไม่ได้ผล เลยสักคนเดียว
ยกเว้นท่านที่ปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง หรือเลิกทำไปเพราะขาดศรัทธา
ประเด็นสุดท้าย
ทุกท่านที่ฝึกอย่างต่อเนื่องจะเกิดผล ในการครองตนให้อยู่ใน ศีล ๕ ได้อย่างง่ายดาย
โดยไม่ต้องบังคับ หรือมีคนมาคอยบอกคอยสั่งสอนให้ยึดศีล ๕ ส่วนใหญ่จะได้มาตรฐานในทำนองเดียวกัน พร้อมไปกับเกิดหิริโอตตัปปะ (เกรงกลัว และละอายต่อบาป)
ที่บางครั้งเผลอทำไป ทางความคิด คำพูด และการกระทำต่อผู้อื่น
แม้จะเป็นความผิดเล็กน้อยนิดเดียว ก็ยังผุดขึ้นคาอยู่ในใจหลายต่อหลายครั้งตามมาภายหลัง
ฉะนั้นการสอนทั้งเดินช้าหรือเดินเร็ว
กำหนดพองยุบ หรือ ถูกหนอ ก็ล้วนแต่เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของ วิปัสสนาจารย์ในการสอบอารมณ์
เพราะบางขณะที่ไม่มีพอง หรือ ยุบ ท่านจะให้กำหนดถูกหนอแทน ผลที่ได้จากการกำหนดพองยุบ หรือกำหนดถูกหนอเหมือนกัน
และยังถูกหลักวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน
สรุปเรื่องรูปแบบการสอนวิปัสสนาของคุณแม่
ที่ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่น ว่าสอนถูกทางใน ๓ ประเด็นดังนี้คือ
๑.คุณแม่เคยฝึกเดินช้า กำหนดพองยุบมาก่อน แล้วพัฒนาให้ฝึกเดินเร็ว
กำหนดถูกหนอแทน ๒. ผู้เขียนเคยฝึกเดินช้า
กำหนดพองยุบมาก่อนเช่นกัน แล้วมาฝึกเดินเร็วและกำหนดถูกหนอ ตามรูปแบบของคุณแม่ ๓.
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเผยแผ่วิปัสสนา แก่คนฝึกใหม่ด้วยวิธีเดินเร็ว และกำหนดถูกหนอ ต่อมาได้รับเชิญ ให้ไปช่วยสอนภาคปฏิบัติ ด้วยวิธีเดินช้า และกำหนดพองยุบ
แก่นิสิตปริญญาโทและเอก ในหลักสูตรภาคบังคับการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นเวลา
๓๐ วัน ที่มหาจุฬาอาศรม อ.ปากช่อง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ฉะนั้นด้วยรูปแบบที่เคยสอนทั้งเดินเร็วและเดินช้า
ผลของการปฏิบัติทั้ง ๒ วิธีปรากฎออกมาเช่นเดียวกันทุกประการ จึงเป็นการพิสูจน์ได้ว่า
รูปแบบเดินเร็ว และกำหนดถูกหนอถูกหลักวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามในพระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์วิสุทธิมรรค
หลักวิปัสสนาญาณ ๑๖ การอธิษฐานเข้าผลสมาบัติ
และการอธิษฐานทวนวิปัสสนาญาณตั้งแต่ญาณที่ ๔ ถึง ๑๒ ได้ครบทุกประการ
การสอนวิปัสสนาด้วยรูปแบบของคุณแม่ ก่อให้เกิดผลตรงตามหลักอริยสัจ
๔ และคำสอนของพระพุทธศาสนาทุกประการ ผลจากการเจริญวิปัสสนาหรือการเจริญสติ
ยังมีประโยชน์อีกมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ลดละกิเลส ๓ (โมหะ โลภะ โทสะ) เท่านั้น
แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์สอนการเจริญสติให้เกิดผลดี กับสังคมในอีกหลายๆ ด้าน นอกจากการลดกิเลสทั้ง ๓ แล้ว การเจริญสติ(Mindfulness
Meditation) ยังเป็นเครื่องมือช่วยในการบำบัดโรคทางกายและทางจิต
ที่ปัจจุบันเป็นที่นิยม แพร่หลายในหลายประเทศ และถูกนำไปประยุกต์สอนคลายเครียดตามหลักสูตร
MBSR (Mindfulness Based Stress Reduction) และ MBCT
(Mindfulness-based cognitive therapy) ในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก การสอนเจริญสติในระดับสากล ได้ถูกนำมาเป็นหลักสูตรเจริญสติคลายเครียด เรื่อยมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1974 (พ.ศ.
๒๕๑๗) ราวกว่า ๔๐ ปีมาแล้ว ปัจจุบันในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา หลักสูตรการเจริญสติ
เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากในทุกทวีป เช่น อเมริกา ยุโรป อินเดีย เอเซีย
และออสเตรเลีย และได้แพร่หลายเป็นหลักสูตรที่มีคุณค่ามาก
แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ด้วยการเปิดศูนย์ Mindfulness
Center ภายในมหาวิทยาลัย OXFORD มหาวิทยาลัย UCLA มหาวิทยาลัย STANFORD และมหาวิทยาลัย MIT เป็นต้นทั่วโลก
หลักสูตรการเจริญสติหรือMBSR มุ่งเน้นการสอนเพื่อการบำบัดผู้ป่วย
คลายความเครียด และมีประโยชน์มากต่อการพัฒนากระตุ้นสมองส่วนหน้า ที่เรียกว่า Prefrontal
Cortex ซึ่งทำหน้าที่การมีสติย้ำยั้ง การมีเหตุผล การควบคุมอารมณ์
และการตอบสนองต่อสิ่งภายนอกได้ดี อีกทั้งยังควบคุมสมองด้านในส่วนกลางที่เรียกว่า Amygdala
ซึ่งแสดงอารมณ์ความกลัว วิตกกังวล โกรธ ความรุนแรง ให้น้อยลง
หรือทำงานให้ช้าลงได้ผลดีมากอีกด้วย
นักวิจัยหลายท่านที่มีชื่อเสียง
ได้นำเอาการเจริญสติมาสอนบำบัดผู้ป่วยในหลักสูตร MBSR
ตามมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ และโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วโลก เช่น Dr. Jon Kabat-Zinn, Dr. Rick Hanson, Dr. Diana Winston, Dr. Bob Stahl, Dr. Richard Davidson(Neuroscientest - นักวิทยาศาสตร์ด้านสมอง),
Dr. Dan Siegel และอีกหลายท่านทั่วโลก นักวิจัยทั้งหมดล้วนแต่ได้เคยมาฝึกวิปัสสนา หรือการเจริญสติกับพุทธศาสนาจากสายเถรวาท,
Vipassana Meditation แบบพองยุบของพม่า, สายท่านโกเอ็นก้า Goenka Vipassana, สายท่านติช
นัทฮัน หรือจากสายธิเบต มาแล้วทั้งสิ้น
นอกจากประโยชน์ในการคลายเครียดแล้ว
การเจริญสติยังพัฒนา ทำให้มีความสุขเกิดขึ้นอีกด้วย ผู้วิจัยอีกท่านหนึ่งคือ Dr. Richard Davidson ได้ศึกษาวิจัยค้นหาว่า ใครคือบุคคลที่มีความสุขมากที่สุดในโลก
ด้วยอุปกรณ์จากการวัดคลื่นสมอง
จนในที่สุดได้ค้นพบว่า ผู้ที่มีความสุขมากที่สุดในโลกคือ Matthieu
Ricard (นักบวชธิเบตชาวฝรั่งเศสที่นิยมการทำสมาธิ จนได้รับฉายาว่า ผู้ชายที่มีความสุขมากที่สุดในโลก
World's Happiest Man ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Time
Magazine มาแล้ว)
นอกเหนือจากผลดีด้านความสุข
สุขภาพจิต และการพัฒนาสมองแล้ว ผู้ที่เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือ Mindfulness Meditation ได้ถูกวิธีและปฏิบัติต่อเนื่อง
จะเกิดผลแก่ผู้ฝึกในด้าน การพัฒนาจิตวิญญาณ Spiritual Quotient - SQ, การพัฒนาศีลธรรม Moral Quotient - MQ, การพัฒนาด้านอารมณ์
Emotion Quotient - EQ and การพัฒนาความฉลาดทางปัญญา Intelligence
Quotient - IQ พร้อมกันไปทั้งหมด โดยจะช่วยเริ่มพัฒนาจากภายในจิตใจสู่ภายนอก
จากกประสบการณ์การสอนเผยแผ่แก่ชุมชน
ตามแนวของวิปัสสนากัมมัฏฐาน (การเจริญสติ) ในรูปแบบที่คุณแม่สอน ทำให้เกิดการพัฒนาการสอน
ผสมผสานกับความรู้ ด้านจิตวิทยาตะวันตก จนสามารถประยุกต์การสอนให้ได้กว้างขวาง แก่ทุกช่วงระดับอายุ
ด้วยหลักสูตรต่างๆ เช่น หลักสูตรสติพัฒนาตนเอง /
สติพัฒนาการเรียน / สติพัฒนาการทำงาน /
สติพัฒนาในการเลือกคู่ครอง / สติพัฒนาการเลี้ยงลูก
/ สติพัฒนาผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาอารมณ์ ป้องกันความจำเสื่อมและเตรียมตัวก่อนตาย
/ สติบำบัดโรค ซึมเศร้า ย้ำคิดย้ำทำ OCD เครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ ติดบุหรี่ และโรคทางใจอื่นๆ (Mental
Disorders) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและโรคทางใจอื่นๆ
มากกว่าหลายแสนคนกระจายอยู่ในทุกชุมชนทั่วประเทศ
ประโยชน์จากการเจริญวิปัสสนาหรือการเจริญสติที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
มีคุณประโยชน์มากแก่ผู้คน เพราะเป็นอาหารใจและเป็นยามหัศจรรย์ที่ไม่ใช่ยา ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์
บำบัดโรคทางใจต่างๆ และทำให้เกิดความสุขสูงสุด
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาต่อเนื่องถึงขั้นเข้าถึงพระนิพพาน และตัดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสังสารได้
การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน
จะเกิดผล เกิดปัญญา และลดกิเลสได้ ด้วยการเจริญสติและปฏิบัติที่จิตจริงๆ เท่านั้น
ถ้าเพียงแค่อ่านหนังสือ และจำหลักการได้ แต่ไม่เคยฝึกปฏิบัติที่จิต
คุณแม่สอนว่าเป็นแค่ความจำ ท่านพูดเสมอว่า
“ท่านไม่ใช่ นักปริยัติ ไม่เก่งในวิชาการ และก็ไม่รู้ด้านตำรามากหรอก” แม้ว่าท่านจะมีความรู้ ด้านตำราน้อย
แต่ท่านได้เข้าถึงจิตถึงพุทธธรรม ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนา
ฉะนั้นประสบการณ์ด้านปฏิบัติ สำคัญมากกว่าประสบการณ์ด้านปริยัติ
ผู้ที่รู้ตำรามากมักจะเกิดอุปสรรค ในระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนา ซึ่งทำให้ต้องหยุดการปฏิบัติไปเลยก็เคยมี
ในอดีตมีเรื่องเล่าที่วิเวกอาศรมว่า
มีพระมหาเปรียญ ๙ ประโยครูปหนึ่ง มาฝึกวิปัสสนากับหลวงพ่อใหญ่ ในขณะสอบอารมณ์
มักจะเอาทฤษฎีมาตอบ จนหลวงพ่อใหญ่บอกว่าให้เอาความรู้ในเปรียญ ๙
ประโยคไว้นอกวัดก่อน มาในนี้ให้ปฏิบัติจริง นำเอาที่ปฏิบัติจริงมาส่งเท่านั้นและอย่าเอาตำรามาส่ง
แต่พระมหาท่านนั้นยังเกิดความสงสัยในเรื่องการปฏิบัติและไม่ได้ทำตามที่สอน
เพราะท่านมีความรู้มากและจดจำทฤษฎีในเรื่องวิปัสสนาได้หมด ซึ่งทำให้พิจารณาเปรียบเทียบกับในตำราจนเกิดความฟุ้งซ่าน
ในที่สุดไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่หลวงพ่อใหญ่สอน ท่านจึงบอกให้หยุดการเจริญวิปัสสนา
ในอนาคตค่อยกลับมาฝึกปฏิบัติใหม่ แม้ว่าความรู้ด้านปริยัติจะมีประโยชน์มาก
แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่เกื้อหนุนการปฏิบัติ ซึ่งทั้ง ๒ นั้นเป็นคนละส่วนกัน
ในสายปฏิบัติจะสอนเสมอก่อนฝึกปฏิบัติว่า ไม่ต้องเอาตำรามาด้วย ฝึกได้ก่อนแล้วค่อยไปศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเป็นความรู้รอบตัวในการเผยแผ่ต่อไป
แม้ว่าปัจจุบันรูปแบบการสอนวิปัสสนาของคุณแม่จะยังไม่แพร่หลาย
แต่ผู้เขียนมั่นใจว่าลูกศิษย์รุ่นหลังจะสามารถนำไปเผยแผ่ และในอนาคตอันใกล้ จะเป็นที่ยอมรับในวงการวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ถ้าหากมีปริญญาด้านการปฏิบัติแล้ว
แม่ชีบุญมี เวชสาร สมควรให้ได้รับการยกย่อง และได้รับปริญญาเทียบเท่ากับ ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ในสาขาวิปัสสนากัมมัฏฐาน
แม่ชีบุญมี
เวชสาร ผู้มีคุณูปการต่อวงการวิปัสสนา เป็นนักปฏิบัติ ที่มีประสบการณ์จริง ผู้ที่เข้าถึงหลักพุทธธรรม
ผู้ร่วมพัฒนาเทคนิคการปฏิบัติ ผู้กล้าบุกเบิกกล้าสอนในรูปแบบที่แตกต่าง
ผู้สร้างธรรมะให้แก่ลูกศิษย์ ผู้เสียสละ ผู้มีความเมตตากรุณา ผู้ให้
ผู้เป็นพุทธบริษัท ๔ ที่สมบูรณ์แบบ และเชื่อว่าลูกศิษย์ทุกคน จะไม่มีวันลืมเลือนแม่ชีบุญมี
เวชสาร จากความทรงจำ เพราะท่านได้ดำรงสถิตย์อยู่ใน เบื้องลึกของจิตใจของลูกศิษย์ทุกคนตลอดกาลนาน
รวบรวมจากการสนทนาและสัมภาษณ์กับ
แม่ชีบุญมี เวชสาร รวมระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปี
โดย อณิวัชร์ เพชรนรรัตน์ - พ.ค. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๙